วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ถ่ายภาพบันทึกลงคอมทันทีด้วย LIGHTROOM

     หลายคนคงเคยถ่ายภาพแบบสตูดิโอ(จำเป็น) เช่น รับหน้าที่ถ่ายภาพหน้าตรงนักเรียน แล้วก็ต้องทำสตูดิโอแบบตามมีตามเกิด ใช้กล้อง DSLR ถ่ายภาพ แล้วก็มีปัญหาเรื่องการตรวจสอบภาพเพราะ LCD หลังกล้องไม่ดีพอที่จะตรวจสอบรูป บางครั้งต้องเสียเวลาถ่ายภาพใหม่ เห็นเขาถ่ายภาพแบบขึ้นจอคอมแบบทำบัตรประชาชนที่เขต ก็เลยอยากลองทำบ้าง ขอบอกก่อนว่า กล้องที่ผมใช้เป็นนิคอนนะครับ แต่ชาวหนอนคงพอไปประยุกต์ได้ และที่ผมต้องการต่อภาพออกข้างนอกก็เพราะ อยากเห็น live view ใหญ่ๆ สั่งถ่ายภาพผ่านคอมโดยไม่ต้องเสียตังค์ซื้อรีโมท และพอถ่ายแล้วเห็นภาพหน้าจอคอมได้เลย และไฟล์ที่ถ่ายก็อยู่ในคอมเลย ไม่ต้องมานั่งโอนถ่ายไฟล์กันอีก
     โปรแกรมที่ผมพบว่าทำได้คือ Lightroom และโปรแกรมของนิคอนเอง คือ camera control ซึ่งทั้งสองโปรแกรมมีข้อดีข้อเสียคนละอย่างสองอย่าง ต้องเลือกใช้เองครับ
     ใน LR มีฟังก์ชั่นเชื่อมต่อกล้อง โดยเข้าไปที่เมนู File > Tethered Capture > Start Tethered Capture

ตั้งชื่อ Collection และค่าอื่นๆ ตามต้องการ 
เมื่อกด OK แล้ว LR จะทำการ sync กับกล้อง ให้รอสักครู (เท่าที่ผมลอง นานประมาณ 1 นาทีกว่า) ถ้ากล้อง และ LR สนันสนุนซึ่งกันและกัน ที่แถบเครื่องมือก็จะปรากฎชื่อกล้องและค่าที่ตั้งไว้ ก็พร้อมถ่ายภาพแล้ว
จะเห็นว่าของผมไม่มีชื่อกล้องขึ้น เพราะ LR ที่ใช้เป็น 3.3 ไม่ support กล้อง D7000 เนื่องจาก D7000 ไม่มีคำสั่งที่กล้องเรื่องการเชื่อมต่อ USB และ D7000 เมื่อเสียบ USB แล้ว จะไม่เห็นเป็น storage เหมือนกล้องรุ่นอื่น จะเห็นเป็น Device อุปกรณ์หนึ่ง ดังนั้นต้องหา LR เวอร์ชั่นที่รองรับ เช่น 3.4(เขาว่ากันอย่างนั้น) ขึ้นไป หรือ เวอร์ชั้น 4 ก็ได้ แต่ผมลองกับ 3.6 เครื่องที่บ้านทำงานได้ดี 
     ข้อดีของการใช้ Tethered capture ของ LR คือ ภาพจะถูกบันทึกไปที่ Folder ที่เราตั้งไว้ และ LR ก็จะ Import ภาพมาให้อัตโนมัติในทันที  ข้อเสียคือ การถ่ายภาพต้องมองที่ช่องมองภาพของตัวกล้อง LV จะถูกตัดการทำงานเมื่อเสียบ USB และ LR เอง ก็ไม่มี LV ให้ดู ข้อเสียอีกประการคือ ในเมื่อต้องมองช่องมองภาพเพื่อถ่ายภาพ สาย USB นี่ช่่างเกะกะเสียนี่กระไร...ไฟดูดอีกต่างหาก!!...จื๊ดๆ..



วันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2555

มาใช้ Google Drive กันดีกว่า

   
     Google คือ search engine ชื่อดังบนโลกอินเทอร์เน็ต ...ใครก็รู้...แล้วมีแค่นั้นหรือ???....ไม่ครับ ไม่ได้มีแค่นั้น สำหรับผม Google เป็น"ของฟรี" อันยิ่งใหญ่ที่เราจะสามารถหาได้ในโลกอินเทอร์เน็ต
 
     เชื่อหรือไม่ ผมไม่มี Flash drive เป็นของตัวเองมานานกว่า 6 ปีแล้ว แต่ผมก็สามารถโอนย้ายถ่ายข้อมูลของผมไปได้ทุกที่  อุปกรณ์เก็บข้อมูลของผมมีแค่ SD card 2 แผ่นในกล้องถ่ายรูปของผม micro SD ที่อยู่ในโทรศัพท์ขนาด 2 GB แล้วก็ ext.harddisk 500 GB 1 ตัว ซึ่งผมสงวนไว้เก็บภาพจากกล้องเท่านั้น ... แล้วผมย้ายข้อมูลได้อย่างไร? คำตอบคือ ผมใช้เครือข่ายครับ ผม share ข้อมูลในเครือข่ายในที่ทำงาน และสมัครใช้ Google นี่แหละครับ

     บริการของ "กู" มีมากมาย ได้แก่ E-mail ที่เรียกกันว่า GMail ,แผนที่ ,ปฏิทิน ,อัลบัมภาพถ่าย และ Google drive พระเอกของผม

     Google Drive เป็นบริการเก็บข้อมูลบนเครือข่าย internet ที่ให้พื้นที่ฟรีๆ 5 GB มากมายเหลือเฟือสำหรับงานเอกสารทั่วไป ถ้างานของคุณไม่ใช่ภาพยนตร์ระดับ HD ล่ะก็ ขอบอกว่า "ทิ้ง flash drive ไปเถอะครับ"

     ก่อนที่คุณจะใช้ "ไดรว์กู"ได้ คุณก็เพียงสมัคร GMail ให้เรียบร้อย คุณก็จะได้สิทธิ์ในบริการฟรีมากมายของ"กู" โดยไม่ต้องสมัครเพิ่ม  และเมื่อสมัครแล้ว ก็พิมพ์ในช่อง URL ว่า www.google.co.th แล้วทำการ Login โดยใช้ username และ password ตามที่คุณสมัคร GMail ไว้ พอกอปุ่ม Login คุณก็จะเห็นหน้า search ตามปกติ...แต่ลองสังเกตุให้ดี บริเวณมุมขวาบน คุณจะเห็นชื่อ mail ของคุณในแถบสี

     แถบสีด้านบน จะเห็นเมนูต่างๆ เรียงแถวอยู่  ลองคลิ๊กไปตรงคำว่า "ไดรว์" หรือ "Drive"ในภาษาอังกฤษ...หน้าเพจของคุณจะเปลี่ยนไปที่ Google Drive และพร้อมใช้งานแล้ว



   ปุ่มทางซ้ายมือ คือปุ่มสำหรับ upload ข้อมูลของคุณไปเก็บไว้ที่ Google drive เพียงกดปุ่มรูป harddisk แล้วเลือกแฟ้มข้อมูลจากในเครื่องของคุณ ทำการ"ตกลง" กับ google เสียทุกอย่าง ยกเว้นเรื่องการเปลี่ยนรูปแบบไฟล์ให้เป็นรูปแบบ "เอกสาร Google" ... จัดการ upload เสีย กำหนดให้แฟ้มนั้นเป็น "ส่วนตัว" หากจะเก็บไว้ใช้คนเดียว หรือ กำหนดเป็น "สาธารณะ"เพื่อเผยแพร่(ทั้งโลก)แก่ผู้อื่น...ออก และ Logout จาก Google ปิดเครื่องที่บ้าน ไปเปิดเครื่องที่ทำงาน Login เข้า"กู" เข้า "ไดรว์กู" ติ๊กเครื่องหมายถูก กดปุ่ม"เพิ่มเติม" เลือก Download เซฟลงเครื่องที่ทำงาน ทำงานต่อ รอรับสองขั้น ไม่ต้องปวดหัวกับ flash drive ไม่ว่าจะเป็นการลืม หาย เพื่อนยืม ฯลฯ ที่สำคัญ ปลอดไวรัส...

     ข้อเสียอย่างเดียวของระบบนี้คือ คุณต้อง Online ได้ทั้งที่บ้านและที่ทำงาน ผมแนะนำว่า ถ้าจะซื้อโทรศัพท์ ควรซื้อ smart phone มาใช้ซะ!  ไฮโซก็กด iphone ยากจนก็กัดฟัน android 4-5 พัน ซักเครื่อง ซื้อโปรเน็ตเล็กๆไว้เผื่อเน็ตที่ทำงานล่ม Download ลงโทรศัพท์ ต่อสาย(จำเป็นนี่นา)เข้าคอมก็ทำงานได้ (จริงๆมีวิธีโอนไฟล์เข้าคอมฯโดยไม่ต้องเสียบสายโดยใช้ app แต่ต้องมี wi-fi)

ความรู้เกี่ยวกับคอมฯ: SERVER คืออะไร(แบบภาษาชาวบ้าน)

     เราคงเคยได้ยินคำว่า server(อ่านว่า เซิฟเวอร์)อยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานหรือเล่นเกมส์ เรามักโทษการที่เข้าอินเตอร์เน็ตไม่ได้ว่า "server ล่ม" ... แล้ว server จริงๆคืออะไร? ทำไมต้องเรียกserver? มีserverไว้ทำไม?

     คำว่า server แปลว่า ผู้ให้บริการ...เราใช้เรียกเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่ให้บริการบางอย่างในระบบเครือข่าย ซึ่งอันที่จริงแล้ว server มีหลายประเภทหลายชนิด แต่เรามักเรียกรวมๆว่า server

     server ที่เราคุ้นเคยกันมาตั้งแต่อดีตคือ File server คือ server ที่ให้บริการแฟ้มข้อมูลซึ่งมักเก็บแฟ้มข้อมูลในการทำงานไว้ที่ server เพื่อให้ผู้ใช้ในองค์กร(ซึ่งมีมากกว่า 1 คน) สามารถเข้าถึงแฟ้มข้อมูลที่ต้องการได้อย่างทันทีและเป็นปัจจุบัน  ในยุคปัจจุบัน server ที่มีจำนวนมากในโลกคือ web server ซึ่งก็คือ server ที่คอยให้บริการข้อมูลผ่านทางเครือข่ายอินเตอร์เน็ตซึ่งเราจะเห็นในรูปแบบต่าง เช่น หน้า web page ของหน่วยงานต่างๆเป็นต้น ในทางความเป็นจริงในเรื่องของการวางระบบเครือข่ายไม่ว่าขนาดใด จำเป็นต้องมี server มากกว่า 1 ชนิดในการให้บริการข้อมูล แต่โดยหลักการสำคัญก็คือ server จะเป็นศูนย์กลางในการให้บริการทรัพยากรต่างๆในเครือข่ายให้แก่ผู้ใช้ในระบบเมื่อร้องขอ

     คำว่า server เป็นคำที่ใช้เรียกส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ที่มาทำงานร่วมกัน 2 สิ่ง คือ ตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ และโปรแกรมระบบปฏิบัติการ ซึ่งทั้งสองอย่างมักถูกสร้างมาเพื่อใช้ในการเป็น  server โดยเฉพาะ

     เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้เป็น server อาจต้องมีประสิทธิภาพสูงหรือประสิทธิภาพธรรมดาเหมือนเครื่องตามบ้านก็ได้ ขึ้นอยู่กับการใช้งานด้านใด และมากน้อยเพียงใด  หลายคนอาจเข้าใจว่า server คือเครื่องคอมพิวเตอร์วิเศษสุดและมีประสิทธิสูงจนบางคนฝันอยากจะซื้อไปเล่นเกมส์แรงๆ ซึ่งในทางความเป็นจริง server เป็นแค่คอมพิวเตอร์ที่มีแค่ความอดทนสูง และมีความเร็วเฉพาะบางเรื่องเท่านั้น ซึ่งโดยทั่วไปผู้ดูแลระบบมักเลือก spec. ด้านใดด้านหนึ่งเท่าที่จำเป็นเพื่อลดค่าใช้จ่าย

     จุดมุ่งหมายของ server มีความชัดเจนเฉพาะด้านคือจะต้องสามารถทำงานได้ตลอด 24 ชม. 7 วันต่อสัปดาห์ได้โดยไม่หยุด และต้องสามารถปกป้องข้อมูลของผู้ใช้ให้ปลอดภัยที่สุด นั่นคือต้นเหตุทำให้ server มีราคาค่าตัวสูงกว่าคอมพิวเตอร์ตามบ้านทั่วไป เนื่องจากอุปกรณ์ต่างๆภายใน server ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้งานในลักษณะดังกล่าวโดยเฉพาะ คือ ทนทาน!! ชิ้นส่วนจึงต้องใช้วัสดุคุณภาพสูงกว่าปกติจึงทำให้ราคาสูงขึ้นตาม

     เหตุที่อุปกรณ์ server มีราคแพงเพราะเน้นความรวดเร็ว แม่นยำ และทนทาน เช่น Harddisk ของ server โดยเฉพาะจะเป็นชนิด SCSi หรือเรียกกันติดปากว่า สกัสซี่ มีราคาแพงกว่า Harddisk ทั่วไปประมาณ 4 เท่า เนื่องจาก Harddisk ชนิดนี้จะมีความเร็วเบื้องต้น(ในทางทฤษฎี)มากกว่า Harddisk ตามบ้านมากกว่า 2 เท่า เพราะ Harddisk ชนิดนี้สามารถอ่านและเขียนได้ในเวลาเดียวกัน ซึ่งต่างจาก Harddisk ATA ทั่วไปที่ต้องทำทีละอย่างสลับกันไป

     การใช้งาน server ก็แตกต่างจากการใช้งานคอมพิวเตอร์ทั่วไป คือ server มักจะไม่ถูกใช้งานผ่านหน้าเครื่องยกเว้นกรณีซ่อมบำรุง หรือ ติดตั้งโปรแกรมบางอย่างที่ใช้งานบน server เพราะการใช้งานหน้าเครื่องมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย เช่น อาจติดไวรัสจากแฟลชไดรว์ หรือ อาจทำให้โปรแกรมหลักของ server เสียหายโดยไม่ตั้งใจ เป็นต้น

     โปรแกรมที่ติดตั้งบน server ก็ไม่ใช่อันเดียวกันกับคอมพิวเตอร์ตามบ้าน หากเป็นตระกูล Windows เราก็จะเห็น  Windows XP หรือ Windows 7 ในเครื่องตามบ้าน หากเป็น server ก็จะใช้ Windows 200X server เป็นต้น หรือ บางกรณีอาจใช้ Linux แทน หรือ อาจเป็น Unix ในระบบใหญ่ๆ เช่น ธนาคาร เป็นต้น ซึ่ง"โปรแกรม"ที่อยู่บน server นอกจากจะเป็นโปรแกรมจัดการระบบ OS แล้ว ยังมีความสามารถในการให้บริการ และควบคุมเครื่องในเครือข่ายได้อีกด้วย

     Windows Server 2008 R2 เป็น server OS ที่ได้รับการกล่าวถึงมากในตอนนี้ เนื่องจากมีความสามารถมากมาย สามารถให้บริการได้หลายประเภทในเวลาเดียวกันโดยไม่ซื้อโปรแกรมเพิ่ม ที่สำคัญ windows server 2008 R2 ตัวนี้ สามารถควบคุมผู้ใช้ได้ครอบคลุมทุกกรณีไม่ว่าจะย้ายไปทำงานที่เครื่องใด ที่"เจ็บ"ก็คือ สามารถควบคุมเครื่องในเครือข่ายได้โดยไม่ต้องไปจัดการที่เครื่องลูกข่ายเลย กำหนดสิทธิ์การเข้าถึงอุปกรณ์ของเครื่องลูกข่ายได้ ไม่ว่าจะเป็น มองไม่เห็นไดร์วC ไม่สามารถใช้แฟลชไดร์วได้ มองไเห็นหรือม่เห็นคอนโทรลใดๆ กำหนดเวลาในการเข้าถึงเครือข่าย(LAN) หรือ อินเทอร์เน็ตได้เป็นเวลา จนถึงกำหนดหน้าจอเครื่องว่าจะให้ใช้แบคกราวด์แบบใดยังได้เลย

     ความสามารถที่กล่าวมาข้างต้น ผู้คิดค้นทำขึ้นมาก็เพื่อความปลอดภัยของข้อมูลในเครือข่าย เพราะการเข้าถึงเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องใดเครื่องหนึ่งในเครือข่ายก็คือมองเห็นประตูทางเข้าสำนักงานอยู่ตรงหน้าแล้วแต่ไม่มีบัตรผ่านเท่านั้นเอง ถ้าเป็นโจรก็คือรอยามเผลอเท่านั้นเอง ความปลอดภัยที่เหนือกว่านั้นคือ"ซ่อน" ทางเข้าไม่ให้ใครรู้ หรือ "ล๊อค"ทางเข้าไว้เสมอ ซึ่งความปลอดภัยของข้อมูลในเครือข่ายขึ้นอยู่กับผู้ใช้งานทุกระดับที่ต้องช่วยกันระวัง อันได้แก่

1. ตั้ง Password ทุกเครื่อง และต้อง Log Out ออกเสมอเมื่อเลิกใช้งาน
2. เปลี่ยน Password บ่อยๆ  และไม่ควรจด password ไว้ในกระดาษ รวมถึงไม่ควรบอก password ผู้อื่นไม่ว่ากรณีใด
3. ตั้ง User บนเครื่องให้ใช้ของใครของคนนั้น ต่อให้เป็นเครื่องที่ไม่ได้ต่อ network ก็เถอะ และไม่ควรทำ Auto Log on
4. ทำตัวให้เลิกกลัวระบบ network - อินเทอร์เน็ต และเรียนรู้มัน  "หัด" share ข้อมูลในเครือข่าย และควบคุมข้อมูลของคุณ
5. ควรกำหนดให้เครื่องของคุณเป็นสมาชิกของโดเมนหากทำได้ โดยการติดต่อผู้ดูแลระบบของคุณ เพราะการเป็นสมาชิกโดเมนจะได้รับการคุ้มครองโดย server โดยตรง
6. หลีกเลี่ยงการ Log on โดยใช้ use name ว่า administrator และควร Log on โดยใช้ user name ที่มีสิทธิ์น้อยที่สุดที่คุณมี
7. ปิด user name ที่ชื่อว่า Guest เพื่อป้องกันคนแปลกหน้ามาใช้เครื่อง
8. ถ้าเครื่องนั้นมีคนใช้ร่วมกับคุณ พยายามอย่าเก็บข้อมูลของคุณไว้ที่อื่นนอกจาก My Document ของคุณ เพราะ My Document จะไม่สามารถมองเห็นได้โดยผู้ใช้อื่น แต่ถ้าคุณเก็บข้อมูลไว้ที่ไดรว์ D ทุกคนจะสามารถเข้าถึงมันได้โดยอิสระจากหน้าเครื่อง
9. สำหรับผู้ติดตั้ง windows เอง ควรกำหนด password ตอนติดตั้งให้แข็งแรง อย่าใช้เบอร์โทร หรือแม้แต่เลขประจำตัวประชาชนของคุณ
10. หลีกเลี่ยงการใช้แฟลช์ไดรว์โดยไม่จำเป็น เพราะไวรัสเก่งกว่าที่คิด ส่วนที่แม้แต่ admin ยังแก้ไขไม่ได้ง่ายๆ แต่ไวรัสสามารถแก้ไขได้เฉยเลย แม้คุณจะใช้ username ที่มีสิทธิ์น้อยที่สุดก็ตาม ควรหันไปแชร์ข้อมูลผ่านทางเครือข่ายแทน
11. ล๊อคห้องทำงานของคุณเสมอถ้าทำได้ และยิ่งมีความจำเป็นมากหากห้องของคุณมี server ตั้งอยู่ เครื่องคอมพิวเตอร์หากสามารถล๊อคกุญแจเคสได้ก็จะดีมาก
12. ข้อสำคัญ อย่าทำงานสำนักงานที่หน้าเครื่อง server โดยเด็ดขาด เพราะคุณอาจเป็นผู้ทำ server"ล่ม"

     เมื่อทำได้ทั้ง 12 ข้อแล้ว ที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้ดูแลระบบ ข้อมูลของคุณก็จะปลอกภัย 100% ที่สำคัญคือ ผู้ที่มี server อยู่ในครอบครอง ควรใช้ server ให้เกิดประโยชน์ และถูกหน้าที่ของมัน อย่าไปเสียเงินมากมายเพื่อเอา server มา"ยำ"เละ ลดระดับลงมาเป็นเครื่องธรรมดาบ้านๆ เสียดายเงินครับ...