วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

การปฏิรูปการศึกษาในสายตา"คนอื่น"

     2 สัปดาห์นี้ผมต้องวนเวียนไปอบรมที่ต่างๆหลายวัน เรื่องที่อบรมก็เป็นหัวข้อต่างๆกันไป แต่ที่น่าสังเกตุคือ ไม่ว่าจะไปอบรมเรื่องใด นักวิชาการก็มักพูดถึงกระบวนการ หรือ แนวทางการปฏิรูปการศึกษาที่ประเทศไทยกำลังดำเนินอยู่ และมักโยงไปถึงการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558  ผมได้มีโอกาสฟังวิทยากรบรรยายทั้งสิ้น 4 คน ทั้งหมดพูดเรื่องการศึกษาด้วยวิธีการต่างๆกัน ตลอดจนการมองการศึกษาและแนวทางการปฏิรูปการศึกษาที่ต่างกัน แต่...นักวิชาการที่ผมได้มีโอกาสฟังบรรยายในช่วงนี้ ไม่ใช่นักวิชาการศึกษาที่มาจากหน่วยงานบริหารการศึกษาอย่างที่เคยผ่านมา ผมต้องแปลกใจที่ผู้บรรยาย 2 ใน 4 เป็นนักรัฐศาสตร์ อีก 1 คน เป็นผู้เชี่ยวชาญการศึกษาแต่ก็ไม่ได้เป็นนักการศึกษามาตั้งแต่แรก(มาเป็นตอนเรียน ป.เอก) ด้วยความที่เป็น ดร. คำพูดคนพวกนี้จึงมีน้ำหนักในสังคม คนอย่างผม ป.ตรี ธรรมดา พูดอะไรก็ผิดไปหมด คิดอะไรแปลกว่าคนอื่นเขาก็ว่าบ้า ไม่เหมือนคนเป็น ดร. คิดอะไรแปลกๆ คนจะบอกว่า"คิดต่าง"..เออ ดี
     ผมต้องเอาเรื่องอบรมมาโพลต์บล็อคเพราะว่ามีเหตุผล 3 ประการคือ
     1.ผมอยากเล่าให้ฟังว่า"คนนอก"ระบบการศึกษาเขามองเราซึ่งเป็น"คนใน"อย่างไร
     2.ผมรู้แล้วว่าผมไม่ได้คิดไปเอง(อยู่คนเดียว)ว่าระบบการศึกษาของไทยอยู่ในวังวนของทางตัน
     3.ผมอยากเผยแพร่ความรู้ของคนรัฐศาสตร์ เผื่อจะมีประโยชน์กับนักการศึกษาบ้าง
     แต่....ผมไม่รู้จะเขียนยังไงให้เข้าใจได้ เพราะเรื่องมัน"เยอะ" เอาเป็นว่าผมขอวิจารณ์บ้าง ยกคำบรรยายบ้างแล้วกัน เหยียบเท้าใครก็ขออภัยด้วย ผมไม่ได้มีเจตนาจะว่ากล่าวผู้ใดหรือฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดครับ

     เริ่มต้นที่ "ทฤษฎีของการทำวิจัย"...ผมเพิ่งเคยได้ยินเรื่อง method กับ methodology ซึ่งฟังดูแปลดูเผินๆ จะพบว่ามีความหมายซ้ำซ้อนกัน แต่ในทางการวิจัย 2 คำนี้เป็นคนละเรื่องกันเลย วิทยากรบ่นให้ฟังว่า เวลาสอนวิจัยให้นักศึกษา ป.โท ส่วนมากจะไม่เข้าใจเรื่องนี้กันทั้งนั้น มีส่วนน้อยที่เข้าใจ แล้วก็ทำผิด แม้ว่าอาจารย์จะพยายามเน้นแล้วแต่นักศึกษามัก"พยายามไม่เข้าใจ" แล้ววิทยากรก็พูดเบาๆข้างไมค์ว่า คนที่มาเรียน ป.โท ส่วนมากมาจาก ครู อันดับ1 ตำรวจ อันดับ2 "....ไอ้พวกเนี้ย เข้าใจอะไรยาก เพราะปกติอยู่ที่ทำงานมันเก่งกว่าคนอื่นโดยอาชีพ ไม่ค่อยจะชอบฟัง..." โดนไป 1 ดอก!!!
     เรื่องต่อเนื่องจากข้างบน คือเรื่องทฤษฎีของการทำวิจัย หนึ่งในทฤษฎีแปลก(สำหรับผม) คือ ทฤษฎีปทัสถาน  ผมขอยอมรับว่าผมไม่เคยได้ยิน คนเรียน ป.โท คงเข้าใจกันหมดแล้ว ทฤษฎีนี้คือว่าด้วยเรื่องการอธิบายว่า"สิ่งใดสมควร" เรื่องใดดีกว่า เรื่องใดควรทำก่อน หรือ วิธีการหรือสิ่งใดที่เหมาะสมกับสภาพสังคมในภาวะปัจจุบัน เป็นต้น ซึ่งเป็นคุณสมบัติของผู้บริหาร(จึงมีเรียนในคณะรัฐประสานศาสตร์ เพราะพวกนี้เกี่ยวข้องกับนักการเมือง) ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้จะถูกหล่อหลอมมาจาก Socialization agent เช่น ครอบครัว โรงเรียน เพื่อน ฯลฯ จนเป็นผู้ที่มีโลกทัศน์ มุมมอง วิธีคิด เป็นของตนเองไม่เหมือนคนอื่น เช่น ครู ก. คิดว่าควรรับเด็กที่มีผลการเรียนดี มีความสามารถสูงเข้ามาสอน เพราะสามารถประสบความสำเร็จและสร้างชื่อเสียงให้โรงเรียนได้  ส่วน ครู ข. คิดว่า ควรรับเด็กที่มีความสามารถน้อย-ปานกลางมาสอนให้พอจบได้ มีงานทำในอนาคต โดยไม่สนชื่อเสียงและความสำเร็จสูงๆ....ครูคนหนึ่งอาจรู้สึกอนาจต่อการทำงานทำงานของอีกคนหนึ่ง ในขณะที่อีกคนหนี่งอาจสังเวชใจความคิดของอีกผู้หนึ่ง ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่ถูกปลูกฟังมาอย่างแตกต่างกันทั้งสิ้น หากจะเรียกแบบชาวบ้านเราคงเรียกว่า"สันดาน"...วิทยากรนอกเรื่องว่า สิ่งนี้จะถูกปลูกฝังเรียนรู้อยู่ประมาณ 30 ปี แล้วจะเปลี่ยนไม่ได้หรือเปลี่ยนยาก แต่ทฤษฎีปทัสถานนี้ไม่มีถูกไม่มีผิด มีแต่เหมาะสมหรือไม่ เช่น สังคมส่วนใหญ่เห็นว่าสิ่งใดถูกต้อง ปทัสถานของคนส่วนน้อยก็จะเสียเปรียบ... 
     ที่ผมยกคำบรรยายของวิทยากรมาซะยืดยาวก็เพราะว่าคำบรรยายหลายๆส่วน (โดยเฉพาะเวลาบรรยายนอกเรื่อง) มันโดนการศึกษาของเรา...อย่าลืมว่า วิทยากรคราวนี้ไม่ใช่นักศึกษาในระบบที่เราคุ้นเคย เขาเป็นคนนอก คำพูดทุกคำจึงเป็นลักษณะการมองจากคนข้างนอก... ถามว่าโดนอย่างไร?...
     เมื่อวันเสาร์ ครูทุกคนได้ไปฟังบรรยายโดยคนนอก(อีกแล้ว) แม้จะมี ป.เอกเป็นนักการศึกษา แต่ก็ไม่ได้เป็นมาตั้งแต่ ป.ตรี ไม่มีวุฒิครูด้วยซ้ำไป...วิทยากรชอบใช้คำว่า "ผมไม่เข้าใจ" "อันตราย" ในการบรรยายตลอด เนื้อหาที่บรรยายก็อยู่ในแนวต่อต้านระบบการศึกษาในปัจจุบันอย่างรุนแรง คือไม่เห็นอะไรดีเลยในระบบการศึกษาปัจจุบัน ผมขอวิเคราะห์เป็นบางเรื่องครับ

     เรื่องลูกเสือ....จะมีไปทำไม?  
     จริงๆผมก็ไม่เข้าใจอย่างวิทยากรว่าแหละครับ ที่ว่าลูกเสือเป็นกิจกรรมเสรีไม่ใช่บังคับ ผมก็ว่าจริง แต่...วิชาลูกเสือในโรงเรียนมีเรียนเพื่อเน้นการฝึกระเบียบให้เด็ก คำว่า"ระเบียบ" คือ ยืนตรงเป็น เข้าแถวเป็น ทำความเคารพเป็น ซึ่งเป็นพื้นฐานของสังคมและพัฒนาไปสู่ความมี"วินัย"...แล้วถามว่า ถ้าเด็กไม่เรียนลูกเสือ แล้ววิชาอะไรจะสอน"ระเบียบ"เด็ก แล้วพอโตไปกลายเป็นคนไม่มีระเบียบไม่มีวินัย สังคมจะโทษใคร...คงไม่ใช่ครู/โรงเรียน/ระบบการศึกษานะ.......มองย้อนบ้าง...ตอนนี้เวลาโรงเรียนสอนลูกเสือ โรงเรียนสอนอะไร สอนแล้วมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด นำไปใช้ได้แค่ไหน....และควรมีหรือไม่ควรมี?...ความ"เฮงซวย"ของการมีวิชาลูกเสือคืออะไร "ไร้สาระ" หรือ "ไร้ประสิทธิภาพ"

     เรื่อง O-net มาตรฐานการศึกษา
     ผมเป็นคนหนึ่งล่ะที่ต่อต้านระบบ O-net เพราะอะไร?  เพราะผมเป็นครูกลุ่มสาระศิลปะ(อิอิ) เป็นกลุ่มวิชาที่เด็กเดินเข้ามาก็คาดไว้แล้วว่าจะได้ 4 ไม่ว่าจะเรียนหรือไม่   ผู้บริหาร ผู้ปกครอง ก็มองว่าวิชากลุ่มนี้ไม่สำคัญ ไม่ควรให้เกรดต่ำจนเป็นวัฒนธรรมที่กลุ่มวิชานี้ให้เด็กตกไม่ได้ ให้เกรด 1 เกรด 2 ยังโดนตำหนิ....กลุ่มสาระนี้โดนชัดเจนเวลาให้เกรดต่ำ เวลาเกรดคณิต วิทย์ ตก พ่อ-แม่ที่ชอบมีปัญหาจะถามว่า "ลูกทำไม่ได้เลยหรือ จึงตก" แต่พอวิชากลุ่มศิลปะจะถามว่า"ลูกส่งงานครบแล้วทำไมไม่ได้ 4" ซึ่งเห็นชัดว่า ผลงานเด็กจะดีหรือไม่ดี จะต้องไม่มีผลต่อคะแนน พูดง่ายๆ ครูตรวจงานว่าส่งหรือไม่ส่งได้อย่างเดียว วาดรูปสวยไม่สวยไม่เกี่ยว! เมื่อเป็นเช่นนี้ เด็กจึงไม่ใส่ใจจะเรียนวิชานี้ให้มีประสิทธิภาพ เพราะเรียนยังไงก็4...พอต้องสอบ O-net เด็กจึงไม่มีความรู้...จริงๆแล้วเด็กไม่ได้อ่านโจทย์ด้วยซ้ำไป... แต่เดี๋ยวก่อน วิทยากรที่มาอบรมให้เราไม่ได้มองปัญหา O-net แบบนั้น ปัญหาของท่าน ดร. คือ ข้อสอบ O-net มากกว่า 50% เป็นข้อสอบท่องจำ ที่สำคัญข้อสอบหลายข้อเป็นการวัดความรู้ที่ไม่ใช่ความรู้ถาวร คือ "มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นตลอดไป" เช่น มีข้อสอบถามว่า ดาวเทียมสื่อสารดวงล่าสุดชื่ออะไร?...ผมฟังแล้วขำเลย เพราะตอนเด็กผมโดนมาแล้วกับข้อสอบที่ถามว่านายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันชื่ออะไร...ตอนเรียนก็เป็นคนหนึ่ง พอถึงวันสอบมีพระบรมราชโองการแต่ตั้งนายกใหม่พอดี(แต่เป็นคนที่เคยเป็นมาแล้ว) แล้วดันมีชื่ออยู่ในตัวเลือกทั้งสองคน...จะเอาคนที่ฟังข่าวเมื่อเช้าหรือจะเอาคนที่เรียนมา...แล้วครูจะเฉลยว่าอะไร?..ฮา...
     มองย้อนไปย้อนมา...มี O-net... ทั้งที่วิทยากรอบรมการสอนชอบบอกว่า สอนตามศักยภาพเด็กอ่อนจาก 0 เป็น 1 เด็กเก่งให้สอนจาก 10 เป็น 100 (แล้ว ึงจะมีหลักสูตรแกนกลางไว้หาเี้ยอะไร) แต่พอเฉลี่ย O-net ออกมาต่ำกว่าเส้นก็ว่ากันตำหนิกัน ผมบ่นหลายครั้งแล้ว...เท่านั้นยังไม่พอ O-net ยังมีความคาดหวังให้มีการพัฒนาขึ้นทุกปี ใครจะทำได้(วะ)  แต่ถ้าไม่มี O-net โรงเรียนสอนเองสอบเองออกเกรดเอง มันก็ไม่มีมาตรฐานอะไรมากำหนดเปรียบเทียบเลย โรงเรียนก็ว่าเองเออเอง แถมการศึกษาก็เรื่อยเฉื่อยเพราะไม่มีการประเมิน ...O-net ไม่ดี หรือว่า อะไรไม่ดี เด็กถึงตก O-net ทำไมโรงเรียนต้องกลัว O-net ...ถ้า O-net ดีจริง ทำไมไม่ใช้เป็นข้อสอบกลางโรงเรียนไม่ต้องออกข้อสอบ??....แต่ที่แน่ๆ ผมว่าการใช้ผล O-net มาประเมินโรงเรียนหรือความดีความชอบของครูมันเป็นความงี่เง่าอย่างที่สุด  ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงครู/ผุ้บริหารโรงเรียนดังๆคงได้ปีละ 5 ขั้นแน่ๆ โรงเรียนชั้นสองคงกินปีละขั้นไปทั้งชาติ โดยเฉพาะครูศิลปะ ดนตรี นาฏศิลป์ พละ ไม่ต้องหวังเลย ไม่แป๊กก็บุญหนักหนาแล้วววว...

     เรื่องนักเรียนโบราณใส่ชุดนักเรียน
     ผมรอเรื่องนี้มาตั้งแต่เป็นนักเรียน "เมื่อไหร่จะเลิกแต่งชุดนักเรียนซะที" ซึ่งขณะนี้ก็ยังรออยู่ แล้วผมก็บ่นแบบนี้บ่อยมากช่วงหน้าหนาว ก็ลองคิดดูละกัน ต่างจังหวัดเช้ามาอุณหภูมิแถวๆ 10 องศา.ลมก็แรง ใส่กางเกงขาสั้นไปโรงเรียน...กูจะบ้าตายคนคิดชุดนักเรียนนี่มันเอาอวัยวะส่วนไหนคิดแบบ...ผมก็คิดในใจว่าเด็กผู้หญิงคงหนาวตูดกันน่าดู(ได้แค่คิดน่ะ โรงเรียนผมเป็นโรงเรียนประจำชายล้วนครับ) ผมก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าถ้าเกิดมีโรงเรียนไหนให้เด็กใส่ชุดอะไรก็ได้มาโรงเรียน เด็กมันจะแก้ผ้ามาโรงเรียนเลยหรือเปล่า?...แล้วถ้า"ชุดสุภาพ" มันจะไม่เรียนหนังสือไม่ได้ใช่ไหม?...ผมชอบจริงๆที่วิทยากรบอกว่า "ห้องเรียนคือที่พบกันของคนสองกลุ่ม คือ กลุ่มไม่อยากเรียนกับกลุ่มไม่อยากสอน" เออ มันก็จริงนะ...ทีโรงเรียนกวดวิชาเด็กแต่งหล่อแต่งสวยไปเรียน เห็นมันอยากไปกันจัง เพราะอะไร?...ผมว่าผลการเรียนมันไม่ได้อยู่ที่เครื่องแบบ ก็จริงอยู่ถ้าจะย้อนว่าแต่งชุดนักเรียนก็ไม่ได้ทำให้โง่ลง แต่การบังคับ...โดยเฉพาะการบังคับที่"ลืม"เหตุผลกันไปแล้ว โลกวิวัฒน์ไปแล้วแต่ยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่บอกว่าชุดนักเรียนคือระเบียบ มันเป็นการลดทอนนนน...อะไรหลายๆอย่างของเด็กลง อย่างน้อยๆคนที่มีปัญหากับชุดนักเรียน ซึ่งอาจบ้านจน ฯลฯ ก็ต้องมาทุกข์ใจกับเรื่องนี้พอๆกับเด็กดื้อที่ต้องคอยทะเลาะกับครูปกครองนั่นแหละ
     เดี๋ยว...ก่อนนักเรียนจะเฮ...ลองมองย้อนดูก่อนว่า ปทัสถานของเด็กไทยเป็นอย่างไร?...ตอนนี้หลายคนโดยเฉพาะนักเรียนมองว่าระเบียบการแต่งกายเป็นเรื่องโบราณสมควรยกเลิก...แล้วถ้ายกเลิกจริง!!! นักเรียนจะแต่งชุดอะไรมาโรงเรียน...คนบ้านมีอันจะกิน(รวยโคตร)จะแต่งอะไรมา คนบ้านจนเห็นแล้วจะว่าอย่างไร? จะอิจฉาไหม จะอายไหมถ้าเธอบ้านจนมีแต่เสื้อยือกางเกงยืนเก่าๆมาโรงเรียน ต้องมาเป็นเพื่อนกับคนบ้านรวยใส่หลุยส์วิตองมาเรียนทุกวัน..เธอจะทนเป็นเพื่อนกับมันได้นานเท่าไหร่?...พอบอกว่า "พอดี" "สุภาพ"นะ ปทัสถานของนักเรียนไทยเป็นอย่างไร?...สุภาพ...แบบไหน?  พอดี...แบบไหน? ....ทหารแต่งเครื่องแบบเพื่อแบ่งยศฐาบรรดาศักดิ์ แต่งเครื่องแบบเพื่อมีไว้แสดงยศ ลดความเหลื่อมล้ำระหว่างทหารบ้านรวยกับทหารบ้านจน...นายสิบ บ้านรวยเป็นพันล้านก็ต้องรับคำสั่งนายร้อยจนๆ  เพราะมองจากเครื่องแบบมันไม่มีทางรู้ว่ารวยหรือจน นั่นคือเหตุผลของเครื่องแบบ...แล้วถ้าทหารยกเลิกเครื่องแบบเพราะมันเชย...จะเกิดอะไรขึ้น? มันเหมาะสมไหมที่ทหาร-ตำรวจ จะแต่งชุดเหมือนชาวบ้านแต่ถือปืนเดินไปเดินมา...นานๆไปโจรสวมรอยเนียนว่าเป็นทหารเป็นตำรวจ สังคมจะเป็นอย่างไร?...เครื่องแบบก็คือเครื่องแบบ ที่มันเชยก็เพราะคนใส่ไม่ชอบมันก็เลยไม่ดูแลไม่แต่งให้เหมาะสม พยายามแก้พยายามแหวก ก็เพราะไม่ชอบไม่ภูมิใจ  เครื่องแบบดูเท่ห์เพราะคนใส่ภาคภูมิใจหมั้นดูแลตั้งใจแต่ง มันก็ดูดี....ความสวยงามมันอยู่ที่ใจ...จริงไหมครับ?...มองย้อนมาที่ชุดนักเรียนโดยเปรียบเทียบกับตัวอย่างของทหาร...ใส่เครื่องแบบนักเรียนดีหรือจะยกเลิก? ถ้าจะยกเลิกเพราะอะไร?...ชุดมันเชย...หรือกูอยากอวด...หวังว่าถ้ายกเลิกชุดนักเรียนหมดประเทศ คงไม่มีนักเรียนรุ่นใหม่เรียกร้องว่าอยากแต่งเครื่องแบบนักเรียนอีกนะ..."...ทีญี่ปุ่นทีเกาหลีเขายังมีเครื่องแบบนักเรียนเลย โรงเรียนไทยเฮงซวยไม่ยอมแต่ง..."

     เรื่องหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน
     เรื่องนี้เป็นเรื่องที่วิทยากรท่านหนึ่งออกนอกเรื่องให้ฟังอันเนื่องมาจากการอธิบายขยายความของคำว่า "ศาสตร์"หลังวิชาต่างๆ ซึ่งท่านวิทยากรอธิบายว่า วิชาที่ตามหลังด้วยคำว่า"ศาสตร์" คือวิชาที่ว่ากันด้วยหลักการ เช่น วิทยาศาสตร์ มีกฎ ข้อพิสูจน์ชัดเจนตายตัว ไม่ว่าจะนานกี่ร้อยปีก็จะยังคงถูกต้องเสมอ ส่วนวิชาที่ไม่"ศาสตร์"ตามท้าย มักเป็นวิชาที่เรียกว่า "ศาสตร์ประยุกต์"ไม่ใช่ศาสตร์แท้ คือ ต้องนำเอาความรู้จากศาสตร์แท้มาประยุกต์ให้เกิดความรู้ใหม่...พอถึงตรงนี้วิทยากรก็เลี้ยวออกว่าวิชารัฐประสานศาสตร์น่าจะเรียกเป็นอย่างอื่น เพราะหลักการที่ร่ำเรียนกันมันเปลี่ยนทุกวัน อย่าว่าแต่วิชานี้เลย วิทยาศาสตร์ยังมีการเปลี่ยนแปลงได้เมื่อถึงเวลาหนึ่ง...แล้ววิทยากรก็เลี้ยวอีกว่า ครูรู้หรือเปล่าว่าเราสอนวิทยาศาตร์เด็กทำไม ทำไมเด็กต้องเรียนวิทยาศาสตร์ เรียนคณิตศาสตร์ คิดโจทย์กันหัวจะแตกสุดท้ายก็เรียนแค่เพื่อไปสอบให้ได้คะแนน...วิทยากรไม่ได้ตอบหรือเฉลยนะครับ แต่มันทำให้ผมนึกได้ว่าผมเคยได้มีโอกาสฟังอดีต ผอ.สพฐ ท่านหนึ่ง คุยกับนักเรียนที่เป็นนักดนตรีที่ผมควบคุมวงไปออกงานว่า "การเรียนวิทยาศาสตร์เป็นการฝึกให้นักเรียนรู้จักคิดอย่างมีขั้นตอน รู้จักตั้งสมมติฐาน พิสูจน์อย่างมีระบบ ซึ่งจะปลูกฝังให้เด็กเรียนรู้และรู้จักการคิดอย่างมีเหตุมีผล ส่วนคณิตศาสตร์นั้น..." ท่านตอบคำถามนักเรียนว่าทำไมต้องเรียนคณิตศาสตร์ยากๆด้วยๆ ท่านหัวเราะก่อนจะตอบว่า "นั่นนะสิ.." แล้วท่านก็หันไปพูดกับผู้ติดตามบางคนว่า คณิตศาสตร์เรายากไปไหม แต่ท่านก็อธิบายว่า การเรียนคณิตศาสตร์คือการฝึกให้รู้จักคิดซับซ้อนซึ่งจำเป้นต่อการดำเนินชีวิตประจำวันที่ต้องคิดอะไรๆมากกว่า 1...ยิ่งเรียนสูง โจทย์คณิตศาสตร์จะยิ่งซับซ้อน(มิใช่ยาก) เพื่อให้นักเรียนได้ฝึกคิดมากๆ....อันนี้เป็นคำตอบของบุคคลที่ดำรงตำแหน่ง ผอ.สพฐ.ณ ขณะนั้น แต่ถ้าถามครูหรือเด็กตอนนี้ ถ้าไม่บอกข้างบน ครู/เด็กจะตอบว่าอะไร?...อย่าบอกนะว่าจะตอบว่าเพื่อให้สามารถแก้โจทย์ยากๆได้ เวลาไป admission จะได้ทำข้อสอบได้เยอะๆ...ตูละเบื่อ....
     ที่เบื่อเพราะว่าเราจัดการเรียนสอน จัดหลักสูตรกันจนลืม(ไปหรือเปล่า)ว่าจุดมุ่งหมายของการเรียนแต่ละวิชามีไว้เพื่อสิ่งใด หรือวัฒนธรรมคนไทยที่เน้นด้านปริมาณ(ทุกอย่าง) จึงมองผลสัมฤิทธิ์ของการเรียนไปที่"เกรด"เพียงอย่างเดียว และทึกทักเอาว่า ผลการเรียนดีมากก็จะประสบความสำเร็จในชีวิตมาก...ผมคนหนึ่งล่ะขอค้าน...เพราะเพื่อนผมสมัยมัธยมเกรดมันน้อยกว่าผมตั้งเยอะ แต่มันดื้อ! ไปเรียนวิศวะเอกชน เรียนตั้ง 6 - 7 ปี กว่าจะจบ ตอนนี้มันเป็นวิศวกรอยู่ญี่ปุ่นเงินเดือนเป็นแสนรวยจนไม่รู้จะซื้ออะไรเพิ่มดี(มีหมดแล้ว) ผมเป็นครูเงินเดือนหมื่นกว่าประสบความสำเร็จมาก ไม่มีจะกินหนี้สินบานเบอะ กระเป๋าแห้งแดกอุดมการณ์....นั่นคือวัดกันที่ตัวเลข แต่ถ้าวัดกันที่คุณภาพ ผมมีความสุขกับการเป็นครู เงินเดือนจิบจ้อยผมก็ไม่ค่อยได้ใช้ อดบางมื้อเอาเงินไปให้เด็กกินข้าว ซื้อรองเท้า จ่ายค่าเรียน มันรู้สึกสุขใจมากกว่า เพื่อนผมสิ บ่นทุกวันงานเครียด นายกดดัน ฯลฯ ฟังดูแย่...เลิกเถอะครับการมองอะไรเชิงปริมาณเนี่ย มันสรุปผลอนาคตไม่ได้ ปลูกข้าวได้เยอะมากๆก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะรวย ขายไม่ออก ไม่ได้คุณภาพ ราคาตก สุดท้ายอาจจะเจ๊งก็ได้  หันมาดูอะไรที่เป็นเชิงคุณภาพกันดีกว่า การเรียนการสอนก็หันไปดูว่าเรียนแล้วได้อะไร เอาไปใช้ได้ไหม? ดีกว่าตอบแบบกำปั้นทุบดินว่าเรียนไปสอบบบบบบ....ย๊ากกกสสสส์...

ไวรัสคอมพิวเตอร์


     มีคนบ่นผมว่าอยากใช้เน็ต แต่ไม่ยอมใช้เพราะกลัวติดไวรัส! ผมฟังแล้วก็รู้สึกเห็นใจครับ เพราะคนที่เข้าใจแบบนี้มีอยู่ไม่น้อย ซึ่งก็ไม่ผิดเสียทีเดียวนะครับ จะว่าไปมีส่วนถูกมากกว่าผิดซะอีก  เพราะฉะนั้น หันมาโพสต์เรื่องคอมพิวเตอร์กันดีกว่า เป็นความรู้แก่บุคคลทั่วไปที่ไม่มีเวลาศึกษาเรื่องนี้ ผมจะเขียนสั่นๆ อ่านจบเร็วๆ จะได้ไม่เสียเวลามาก หากไม่เข้าใจก็ถามได้นะครับ

     ไวรัส(คอมพิวเตอร์) เป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์อย่างหนึ่ง เหมือนโปรแกรมเกมส์ โปรแกรม office ทั่วไปครับ  ไม่ใช่เชื่อโรคของคอมพิวเตอร์ที่ทำให้คอมพิวเตอร์พังครับ ที่สำคัญมันไม่ได้แพร่ไปตามอากาศอย่างที่บางคนเข้าใจผิดอย่างน่าเวียนหัว

     ไวรัสมีมากมายหลายแสนตัว ทุกตัวเป็นโปรแกรมที่มนุษย์เจตนาเขียนขี้นโดยมีจุดมุ่งหมายตั้งแต่สร้างความรำคาญ จนถึงทำลายข้อมูลบนเครื่องคอมพิวเตอร์นั้น บางตัวอาจทำลายข้อมูลในระบบเครือข่ายขององค์กรเลยทีเดียว  แต่อย่าพึ่งตระหนกมากไป เพราะมากกว่า 90% ของไวรัส(คอมพิวเตอร์) มีจุดมุ่งหมายก่อความรำคาญ เช่น ส่งเสียงร้อง ปิดจอ ทำตัวหนังสือหล่น ซ่อนไฟล์ เปลี่ยนชื่อโฟลเดอร์ โหลดตัวเองซ้ำในหน่วยความจำทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานช้าลง เป็นต้น ส่วนพวกรุนแรงมักถูกปราบเรียบตั้งแต่วันที่ก่อเรื่อง

     ที่เรียกโปรแกรมจำพวกนี้ถูกเรียกว่า "ไวรัส" เพราะมีพฤติกรรมคล้ายเชื้อโรคไวรัส คือ
     1. ตัวมันเองไม่มีโปรแกรมที่สมบูรณ์ ต้องอาศัยเครื่องมือจากโปรแกรมอื่นๆ เช่น VBบนไมโครซอฟต์ออฟฟิศเป็นต้น
     2. แอบซ่อนอยู่กับรหัสของโปรแกรม หรือ ไฟล์อื่นๆ เหมือนเชื้อไวรัสที่เจาะเซลล์ของแบคทีเรีย
     3. มีพฤติกรรมแพร่กระจายตนเองอัตโนมัติ
     4. เมื่อคอมพิวเตอร์เครื่องใดติดไวรัสแล้ว จะทำงานผิดปกติ เหมือนคนป่วย
เราจึงเรียกโปรแกรมพวกนี้ว่า"ไวรัส"

     การแพร่กระจายของไวรัสขึ้นอยู่กับชนิดของไวรัส บางตัวติดมากับไฟล์ word  บางตัวติดมากับ Thumb drive  บางตัวติดมาจากการเรียกเปิดโปรแกรม หรือ ดาวน์โหลดโปรแกรมจากอินเตอร์เน็ต  แต่ที่เป็นยอดนิยมคือ Thumb drive หรือ ที่บางคนเรียกว่า Flash drive  แล้วก็อย่าลืมโทรศัพท์มือถือด้วยนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวก smart phone ทั้งหลาย เพราะเมื่อเสียบสาย USB เข้ากับคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์พวกนี้จะมีคุณสมบัติเป็น Thumb drive ดีๆนี่เอง

     ว่าด้วยการติดไวรัสจาก Thumb drive  เป็นเรื่องยอดฮิตจนบางคนบอกว่าไม่มีซิแปลก  แท้ที่จริงแล้วไวรัสที่มากับ Thumb drive มีแค่ 2 ลักษณะ คือ ไวรัสที่เป็น autorun และไวรัสที่แฝงอยู่ในไฟล์   ไวรัสที่ติดต่อผ่านทาง thumb drive นี้ ต้องป้องกันด้วยโปรแกรม anti-virus เพียงอย่างเดียว ส่วนจะป้องกันได้มากหรือน้อยขึ้้นอยู่กับความสามารถของโปรแกรม anti-virus

     ไวรัสที่แฝงอยู่ในไฟล์ เช่น ไฟล์ document เมื่อเสียบ thumb drive เข้าเครื่อง โปรแกรม anti-virus มักหาไม่เห็นในทันที แต่จะตรวจเจอเมื่อทำการเปิดไฟล์นั้นๆ หรือ ทำการ copy ไฟล์นั้นลงเครื่อง แต่บางครั้งก็ตรวจไม่เจอในขั้นตอนการ copy  แตกต่างจากไวรัสประเภท autorun (ชื่อก็บอกอยู่แล้ว ว่าทำงานอัตโนมัติ) ที่จะพยายามทำงานทันทีที่เสียบ thumb drive เข้ากับเครื่องคอม หาก thumb drive มีไฟล์ที่ชื่อ Autorun.inf หรือ Autorun เฉยๆ ก็แสดงความยินดีด้วยครับ!!! ....แต่เดี๋ยวก่อน...มีโปรแกรมแก้ไวรัส autorun อยู่ 2-3 ตัวที่แก้ไขแบบหนามยอกเอาหนามบ่งคือ anti-virus พวกนี้จะสร้างไฟล์ autorun ขึ้นมาดักไว้หลอกไม่ให้ไวรัสเขียนโปรแกรมทับได้ เช่น PANDA vaccine  โปรแกรมกัน autorun ของพระจอมเกล้าฯ เป็นต้น

     โปรแกรมที่เป็นเป้าหมายในการทำลาย(ให้พัง) จะเป็นไฟล์ application ของโปรแกรม เช่น ไฟล์ word.exe ของโปรแกรมไม่โครซอฟต์ออฟฟิศ ซึ่งผู้ใช้งานคอมฯทั่วไปไม่เคยเห็นโปรแกรมนี้ตัวเป็นๆหรอกครับ อย่างดีก็เห็น shortcut บน desktop  ซึ่งโปรแกรมที่มีจุด(.) เป็น exe เหล่านี้ ไวรัสมักทำการ delete ลบ หรือไม่ก็โจมตีโปรแกรมข้างเคียงที่โปรแกรมจุด exe ต้องการใช้ เช่น โปรแกรมที่มีจุดเป็น dll ซึ่งโปรแกรมพวกนี้พังไปก็ไม่เป็นไร ลงใหม่ก็หาย"ป่วย"แล้ว

     โฟล์เดอร์ หรือ ไฟล์ใน thumb drive หายหรือเปลี่ยนไป เป็นอาการยอดฮิตที่เซียนคอมเรียกว่าไวรัสหลอกควาย! เพราะที่จริงไฟล์เหล่านี้ไม่ได้หายไปไหน แต่ถูกซ่อนไว้ แล้วสร้างโฟลเดอร์ปลอมมาหลอกเรา  วิธีการแก้ต้องใช้คำสั่งผ่าน command prompt ก็จะแก้ไขได้ ดังนั้นหาก thumb drive ของคุณไฟล์หายไป อย่างเพิ่งด่วน format นะครับ เดี๋ยวเขาจะหาว่าควาย!

     ไวรัสทำคอมพัง...ไวรัสทำคอมพังไม่ได้ ขอยืนยัน นั่งยัน นอนยัน ตีลังกายันก็เอา แต่ถ้าเครื่องคอมติดไวรัสบางจำพวกอาจทำให้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์บางอย่างเสียหายได้ในทางอ้อม เช่น โปรแกรมที่เขียนตัวเองซ้ำๆบนฮาร์ดดิสก์ มันก็จะทำให้ฮาร์ดดิสก์ทำงานตลอดไม่หยุด มันก็พังสิครับ แต่คงไม่ใช่ตั้งแต่วันแรกที่ติดไวรัสตัวนี้ เพราะฉะนั้นอย่าตระหนก

     ไวรัสที่(ไหล)มากับอินเตอร์เน็ต...มักเป็นไวรัสที่เราเรียกกันผิดๆว่าไวรัส ความจริงแล้วพวกนี้มักเป็น worm หรือ Trojan คงเคยได้ยินตำนานม้าไม้กรุงทรอยใช่ไหมครับ ที่มีทหารซ่อนอยู่ในม้าไม้ขนาดใหญ่แล้วมาแอบเปิดประตูเมืองจากด้านใน...นั่นแหละครับ Trojan มีลักษณะเดียวกัน คือ จุดหมายของมันคือเปิดช่องทางติดต่อให้กับนักจารกรรมข้อมูล คือเมื่อมันเข้ามาในเครื่องเราได้ มันจะส่งข้อมูลออกไปว่า port (ประตู) ใดบ้างสามารถเข้ามาได้เพราะผุ้ใช้ไม่ดูแล เมื่อนักจารกรรมติดต่อเข้าที่เครื่องคอมได้แล้วก็จะทำการ"ควบคุม"เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องนั้น เรียกว่า"การรีโมท" ซึ่งเมื่อทำได้ก็จะเหมือนนั่งอยุ่หน้าคอมเครื่องนั้น และมักมีจุดมุ่งหมายในการ"ขโมย"ข้อมูล ดังนั้น นักจารกรรมที่เก่งขนาดนั้นคงไม่ลงทุนแฮกมาขโมยการบ้านเด็ก หรือ แม้แต่คะแนนเด็ก  ซึ่งทำแล้วไม่ได้เงิน...ถามว่าเด็กทำได้ไหม? แน่นอน อาจเป็นไปได้ แต่การแฮกข้อมูลต้องใช้ความรู้สูงกว่าหลักสูตร ป.ตรี วิศวะคอมฯ...ที่สำคัญต้องใช้เวลาในการแฮกข้อมูลนานเป็นวันหรือเป็นเดือน เพราะระบบคอมพิวเตอร์ของโรงเรียนก็มีการป้องกันดีในระดับหนึ่ง และหลายชั้น อย่างน้อยก็เข้าไม่ได้จากนอกโรงเรียน แต่ถ้าครูปล่อยให้นักเรียนใช้เครื่องคอมโดยไม่ดูแลก็เป็น user error นะครับ...แต่ก็ไม่แน่..
     worm หรือ Trojan ที่มาทางอินเตอร์เน็ต มักถูกปิดกั้นไว้แล้วหลายชั้นในระบบเครือข่าย รวมถึงการป้องกันโดยธรรมชาติของโครงสร้างเครือข่ายที่แบ่งภายนอกและภายในอย่างเด็ดขาด และในท้ายที่สุด windows ที่เครื่องของเราเองก็มีการป้องกันไว้อีกชั้นหนึ่ง ซึ่งหาก windows ตรวจพบ worm หรือ Trojan มักจะสกัดกั้นโดยบอกและถามผุ้ใช้ในทำนองว่า web แห่งนี้อาจมีอันตราย จะเข้าดูหรือไม่? ซึ่งหากเป็น web ที่ไม่รู้จักก็ควรปฏิเสธตามคำเตือนนั้นเสีย รวมถึงไฟล์ต่างๆด้วย หากเป็นไฟล์ที่เราไม่ได้สั่งให้ดาวน์โหลด ก็ควรปฏิเสธตามคำแนะนำ 


     เมื่อติดไวรัส....ผุ้ใช้มักไม่รู้ตัวว่าตนเองติดไวรัสจนกระทั่งเกิดความเสียหาย  ที่จริงแล้วไวรัสหลายๆตัวที่ระบาดในโรงเรียนผ่าน Thumb drive เป็นไวรัสไม่ร้ายแรงแต่อย่างใด มักก่อความรำคาญในลักษณะซ่อนไฟล์ หรือทำให้เครื่องช้าลง ซึ่งปัญหาก็คือ เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วก็ทำงานลำบาก "กดปุ่มแล้วคอมก็ไม่ตอบสนอง มัวแต่โหลดอะไรอยู่ก็ไม่รู้" ซึ่งก็คืออาการติดไวรัสประเภทก่อความรำคาญนั่นเอง และเมื่อติดไวรัสนานๆหรือมากๆเข้าเครื่อคอมก็จะ Hang หรือ ค้าง เพราะไม่สามารถประมวลผลได้หมดนั่นเอง  แต่ปัญหาคือ เมื่อติดไวรัสแล้วก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะข้อมูลในเครื่อง หาก format ก็จะสูญเสียข้อมูลไป แต่บางครั้งการที่เครื่องช้าหรือ Hang บ่อย ก็ไม่ใช่เพราะติดไวรัสเสมอไป  ชาว windows จะรู้ดีว่า เมื่อใช้งานเครื่องคอมไปนานๆ windows จะสะสมข้อมูล"ขยะ"บางอย่างไว้ทำให้เครื่องช้าลง โดยเฉพาะเครื่องที่โก่ง spec เช่น เอาเครื่อง Celeron D มาติดตั้ง windows7 อันนี้มันไม่ไหวตั้งแต่แรกแล้วครับ


     ป้องกันไวรัส...ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปเกือบจะไม่ได้ในสังคมที่คนทำงานแบบนี้ คือมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันไปมา ซึ่งจำเป็นต้องใช้ Thumb drive เป็นหลัก วิธีที่พอจะเป็นไปได้คือ
     1. พยายามจำกัดการใช้ Thumb drive ไว้ใช้เฉพาะในโรงเรียน พยายามอย่านำไปใช้ที่อื่น โดยเฉพาะตามร้านอินเตอร์เน็ต เพราะร้านพวกนี้ไม่มีการป้องกันอะไรเลย ไวรัสเป็นพันรอ Thumb drive ท่านอยู่
     2. พยายามติดตั้ง anti-virus ในเครื่อง เจอน้อยยังดีกว่าไม่เจอเลย แต่ผมขอไว้ตัวหนึ่งแล้วกันครับ คือ NOD ที่ชอบแถมมากับคอมฯ ไม่ใช่ของเขาไม่ดีนะครับ แต่ตัวที่แถมมาให้มันเป็น mini (ผมอยากจะเรียกว่า nano ซะให้รู้แล้วรู้รอด) มันทำอะไรมากไม่ได้  แล้วก็อีกอย่างกับการใช้ anti-virus เวลามีข้อความเด้งขึ้นมา ช่วยอ่าน+ทำความเข้าใจนิดนึง ว่ามันแปลว่าอะไรหมายถึงอะไร ไม่ใช่เอะอะอะไรก็ YES ไว้ก่อน เพราะหลายกรณีที่โปรแกรม anti-virus ถามว่า "โปรแกรมนี้เป็นไวรัส คุณจะอนุญาติโปรแกรมนี้หรือไม่?" ตอบ YES ก็เสร็จสิครับ
     3. เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้คอมพิวเตอร์บนมาตรฐานความปลอดภัยโดยการ"ใช้ username และ password" ทุกครั้งที่ใช้คอมพิวเตอร์ และควรให้ผุ้ดูแลระบบกำหนดระดับการใช้งานคอมพิวเตอร์ให้อยู่ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะพฤติกรรมการใช้คอมพิวเตอร์ของคน"มักง่าย"ไม่ชอบตั้ง password ตั้งแต่ติดตั้ง windows ซึ่งการทำเช่นนั้นทำให้การใช้เครื่องถูกระบุเป็น admin ซึ่งมีสิทธิ์สูงสุด เข้าถึงทุกอย่างได้อย่างอิสระ เมื่อคุณนำไวรัสมา ไวรัสก็เข้าถึงแกนของ windows ได้อย่างง่ายดาย  
     4. หันมาใช้ระบบ network ในการแบ่งปันไฟล์ เพราะอย่างน้อยก็ป้องกันไวรัสยอดฮิตที่แพร่ระบาดผ่านทาง Thumb drive ได้  แต่ปัญหาขณะนี้คือ ระบบเครือขายของโรงเรียนเป็นแบบ peer-to-peer ซึ่งไม่ปลอดภัย และมีการจัดเก็บข้อมูลอย่างกระจัดกระจายเครื่องใครเครื่องมัน การ share ไฟล์ ก็เลยเปรียบเสมือนเอากระเป๋าเราไปวางไว้กลางถนน จริงอยู่อาจจะไม่ได้ไปทุกอย่าง แต่มันก็สาธารณะเกินไป อันที่จริง windows สามารถกำหนดให้เข้าถึง Folder ได้ถึงระดับระบุตัวเป็นรายบุคคล แต่คงเป็นการเข้าใจยากสำหรับผู้ใช้ทั่วไปในการกำหนดสิทธิ์  มีอีกวิธีหนึ่งที่สมบูรณ์คือการใช้เครือข่ายแบบเป็นสมาชิกของโดเมน คือ มีการควบคุมสิทธิ์แบบรวมศูนย์โดยผู้ดูแลระบบซึ่งอาจต้องลงทุนในการติดตั้งระบบ แต่จะมีความปลอดภัยจากไวรัสและการปกป้องข้อมูลอย่างสูง แต่จะต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้คอมพิวเตอร์ของคนทั้งโรงเรียนให้มี username และ password เป็นของตนเองรวมถึงนักเรียนทุกคน 

วันพฤหัสบดีที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

สวย...ไม่มีประโยชน์

รูปภาพสวยๆ ไม่เกี่ยวกับโพสต์
     เมื่อ 2 - 3 วันก่อน ผมไปติดฝนอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง...ผมก็เข้าร้านอาหารจานด่วนเพื่อไปนั่งรอฝนหยุด บริเวณหน้าห้างมีคนยืนหลบฝนอยู่ใต้ชายคาหน้าห้างอย่างทุลักทุเล ฝนก็แรง ลมก็แรง คนที่หลบฝนอยู่ก็เปียกหมด ผมได้ยินพนักงานระดับหัวหน้าประกาศให้คนเข้ามาหลบฝนในห้าง แต่ดูจากหน้าตาคนที่หลบฝนแล้วรู้สึกว่าจะมีอารมณ์นิดหน่อย ไม่รู้เพราะฝนหรือเสียงประกาศ..ผมเองก็แปลกใจว่าคนเหล่านั้นไปยืนให้ฝนสาดเปียกอยู่ทำไม เข้ามาข้างในก็หมดเรื่อง...ผมอ่านปากบางคนได้ว่า "จะเรียกทำไม?"...จนฝนหยุดผมก็สิ้นสงสัย...ผมเดินออกไปทางประตูหน้าตรงนั้น (ตรงที่คนเขาหลบฝนกัน) ผมจึงเข้าใจว่าทำไมเขาจึงไม่เข้ามาในห้างกัน...เพราะหน้าห้างมีชายคาสามารถบังแดดบังฝนได้ตลอดทาง คือ คุณสามารถเดินได้ตลอดความยาวของห้างได้โดยไม่เปียกฝนซักหยด ยกเว้น! ตรงหน้าประตูห้างนั้นเอง...เดิมทีเดียวห้างนี้ประตูก็อยู่แนวเดียวกับกำแพงห้าง แต่เมื่อไม่นานมานี้ ทางห้างได้ตกแต่งทางเข้าใหม่โดยการกั้นกระจกยื่นออกไปด้านหน้า(ยื่นเกินชายคาออกไปอีก) ส่วนที่ต่อเติมออกมาก็มีหลังคาเฉพาะด้านหน้าซึ่งเป็นประตู...ดังนั้นคนที่หลบฝนอยู่ใต้ชายคาที่ผมมองเห็นจากกระจกร้านอาหารด้านใน จึงเข้ามาในห้างไม่ได้ เพราะถ้าจะเข้า พวกเขาต้องเดินฝ่าฝนออกไปเพื่อจะเดินไปที่ประตู...กระจกกั้นทางเข้าดูแล้วสวยงาม แต่ไม่คิดให้รอบคอบ จึงมีข้อบกพร่อง ลูกค้าเดินหลบฝนมาได้ตั้งไกล มาเปียกอีตอนจะเข้าประตูนี่แหละ ผมว่ามันสวย..แต่ไม่มีประโยชน์ ถ้าจะคำนึงถึงความสวยงามอย่างเดียว ผมก็ว่าดี แต่ถ้าคิดถึงการใช้ประโยชน์ผมว่าควรปรับปรุง...ผมมัวแต่มองกำแพงมองหลังคา ไม่ได้ดูพื้น เลยเหยียบน้ำที่ขังอยู่ที่พื้นลึกมิดรองเท้า กระเด็นเปียกขึ้นมาครึ่งแข้ง...โง่จริงๆ!!