หลายคนคงได้ทราบข่าวและคงได้เห็นคลิปเกี่ยวกับนักเรียนชายหญิงคู่หนึ่ง ถูกกล้องวงจรปิดในโรงภาพยนตร์จับภาพขณะมีเพศสัมพันธ์ในโรงหนัง!!!...ใครผิด? คำนี้คงเป็นข้อสงสัยที่ตามมาในทันที เพราะคลิปนี้อยู่ในลักษณะ"แอบถ่าย" เพราะผู้ถูกถ่ายไม่รู้ตัว แถมผู้ถูกถ่ายเป็นผู้เยาว์ ที่สำคัญคลิปนี้ถูกเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ตโดยคนที่มีชื่อซึ่งได้ลงทะเบียนไว้กับเวปเผยแพร่คลิปวิดีโออย่างชัดแจ้ง...ผลที่ตามมาคืออะไร?...คงเป็นคำถามที่ตามหลังคำถามข้างบน ซึ่งชัดเจนแล้วว่า ผลเบื้องต้น นักเรียนหญิงได้ลาออกจากโรงเรียนเนื่องจากอับอาย...แล้วนักเรียนชายในคลิปล่ะ?...แล้วเรื่องนี้จะโทษใคร?..จะแก้อย่างไร?...
โดยส่วนตัว..ผมย้ำว่า โดยส่วนตัว...ผมมีความเห็นว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับจิตสำนึกของเด็ก ซึ่งปนด้วยค่านิยม ซึ่งผมไม่รู้ว่าจะเรียกว่าค่านิยมที่ผิดดีหรือไม่ เพราะสื่อ ซึ่งเป็นสิ่งที่เด็กบริโภคมากกว่าการอบรมสั่งสอนของพ่อ-แม่ กำลังอยู่ในสภาพเห็นเยาวชนเป็น"เหยื่อ"ในการหารายได้ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ เพลง หรือ สิ่งมอมเมาต่างๆ ล้วนมีการตลาดอยุ่ที่เยาวชนทั้งสิ้น หากจำได้ย้อนหลังไปเมื่อกฎหมายสถานบันเทิงกำหนดห้ามผู้ที่อายุต่ำกว่า 20 ปี ใช้บริการ แค่ชั่วข้ามคืน ผับ เทค ปิดตัวเองไปมากกว่าครึ่ง ผมจำได้ว่าตอนกฎหมายออกใหม่ๆ ตำรวจตรวจเข้มๆ แหล่งบันเทิงดังย่านพระรามเก้าแทบไม่มีคน ร้านแทบไม่เหลือ ..คำถามคือ เกิดอะไรกับสังคมไทย...เหตุใดสิ่งยั่วยุและมอมเมาจึงพุ่งเป้าไปที่เยาวชน...ถามว่ามันเป็นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร๋...ผมตอบได้เลยว่ามันเป็นมาตั้งชาตินึงแล้ว...เพราะวัยรุ่น เป็นวัยอยากลอง อยากโต อยากโชว์ อยากช่วย...อะไรใหม่ๆก็ต้องวัยรุ่นนี่แหละ...แต่อย่างที่เห็น คนยิ่งรุ่นเก่าเท่าไหร่ ยิ่งมีปริมาณในการถูกมอมเมาน้อยลง..เพราะเหตุใด?...เพราะสื่อไม่เจริญ การเข้าถึงยากกว่ายุคปัจจุบัน ที่มีทั้งมือถือ อินเตอร์เน็ต เคเบิ้ลทีวี ฯลฯ เป็นเหตุให้เยาวชนของเราเข้าถึงสิ่งยั่วยุมอมเมาได้มากกว่าที่เคย...แล้วเราสามารถแก้ปัญหาโดยการยับยั้งสื่อหรือ?...คำตอบของผมคือไม่!! ผมว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่สื่อ แต่อยู่ที่สำนึกของเด็กซึ่งถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กๆ...ผมขอยกตัวอย่างไกลๆหน่อย...เด็กตัวเล็กๆอายุ 3 - 4 ขวบ พ่อแม่จับแต่งสายเดี่ยวจนโต พอมีความคิดที่จะแต่งตัวเอง ถามว่าเด็กคนนี้จะใส่เสื้อผ้าแขนยาวขายาวเป็นไหม?...ลูกอยู่ ป.4 พ่อแม่ซื้อ iphone ให้ใช้ ผมถามว่า เด็กขึ้นมัธยมจะยอมกลับไปใช้ nokia เครื่องละ 2000 ไหม? ...นี่คือค่านิยม+สำนึกที่พ่อแม่ปลูกฝังใช่หรือไม่...ผมว่า...เด็ก เมื่อถึงมัธยมก็สายเสียแล้ว...
ทีนี้ในฐานะคนที่อยู่ในระบบการศึกษา...เป็นที่ทราบดีว่า พ่อ-แม่ มีความหวังกับโรงเรียนสูง ทุกคนคิดว่าเมื่อส่งลูกมาโรงเรียน ลูกจะมีความรู้ ประพฤติดี สามารถโตไปประกอบอาชีพเลี้ยงตัวเอง และพ่อ-แม่ได้...แต่พอมองมาที่โรงเรียน โรงเรียนหรือครูกลับบอกว่า เด็กจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูที่บ้าน...!?!...แล้วตกลงเป็นอย่างไรกันแน่...
ผมว่าเด็กยุคนี้มีปัญหามากเนื่องจากถูกเลี้ยงอย่างไข่ในหิน ที่เด็กไปทำในโรงหนัง ผมเชื่อเกิน 50% ว่า นั่นไม่ใช่ความตั้งใจแต่แรกของเด็ก อย่างดีก็คงคิดว่าไปดูหนัง จับมือถือแขน อาจมีจับๆคลำๆบ้าง แต่สถานการณ์มันพาไป...เด็กเกินเลยไปถึงขนาดนั้นได้เพราะเด็ก"ขาดภูมิคุ้มกัน"...เพราะอะไร...อย่างที่กล่าวไว้แล้ว สังคมไทยเลี้ยงเด็กอย่างไข่ในหิน...ในทุกที่ ไม่ว่าจะเป็น บ้าน หรือ โรงเรียน...ในส่วนของโรงเรียนผมก็เคยลงโพสต์ไปแล้วว่า เรากำลังจัดการศึกษาที่ฝืนธรรมชาติ คือ เราผลักให้เด็กเรียนจบมากกว่าจะควบคุมคุณภาพ เด็ก ม.3 อ่านไม่ออกเขียนภาษาไทยไม่เป็นตัว ได้ขึ้น ม.4 อีกต่างหาก สอบไม่มีตก สอบซ่อมไม่กำหนดจำนวนครั้ง...เป็นเหตุให้เด็กละเลยการศึกษา ไม่ทำการบ้าน ไม่อ่านหนังสือ เมื่อไม่ทำ ก็มีเวลาว่างมาก แล้วก็นำเวลาว่างไปใช้ในเรื่องเกี่ยวกับอบายมุข สิ่งยั่วยุ...พิจารณาจากโรงเรียนแต่ละแห่ง โรงเรียนไหนที่มีคุณภาพการศึกษาต่ำ เด็กจะมีปัญหามากกว่าโรงเรียนที่มีมาตรฐานการศึกษาที่สูง...โรงเรียนดังๆ ไม่เคยช่วยเด็ก ตกก็ตก ผ่านก็ผ่าน 49 ยังได้ 0 เพราะเขาตรวจข้อสอบด้วยคอมพิวเตอร์ เด็กก็ยอมรับได้ไม่เห็นมีปัญหา...ในประเทศที่เจริญแล้วอย่างอเมริกาหรือยุโรป เด็กนอกระบบไม่ใช่ปัญหาด้านการศึกษาของเขาเลย การเรียนของผู้ใหญ่หลังเลิกงานเป็นเรื่องปกติของเขา เช่น เยอรมัน หรือ สวีเดน
สวีเดนเป็นประเทศฟรีเซ็กส์ และฟรีทุกอย่างในความรู้สึกของผม..ผมมีเพื่อนเป็นวิศวกรอยู่ที่นั่น ภรรยาเป็นครูโรงเรียนอนุบาล...เชื่อหรือไม่ ภรรยาของเพื่อนผมต้องไปเรียนนอกเวลาอยู่ 5 ปี จึงจะได้งานครูอนุบาล...เพราะประเทศนี้หากคุณจบไม่ตรงสาขางานที่จะทำ เงินเดือนคุณจะไม่ขึ้น จริงๆแล้วคือเขาได้เงินเดือนแบบคนไม่ทำงาน คือได้เงินอุดหนุนจากรัฐบาลเท่านั้น ที่สำคัญคือเขาเรียนฟรี...เพื่อนผมทำงานอยู่สายการบิน เป็น chiefอะไรซักอย่าง...แต่เขาก็ต้องไปเรียนบริหารวุฒิ ป.ตรี เพราะเขาอยากมีโอกาสขึ้นเป็นผู้บริหาร ไม่งั้นก็เป้นวิศวกรไปจนแก่ เงินเดือนเกินผุ้บริหาร แต่ก็เป็นลูกน้องเขา ที่เขาไม่เรียน ป.โท เพราะค่าเรียนแพงมาก และ degree ก็ไม่ได้มีผลอะไรกับงานที่ทำ...เยอรมันยิ่งไปกันใหญ่ เด็กที่ไม่เรียนหนังสือ ตอนสุดท้ายสามารถไปสอบจบช่วงชั้นได้ แต่มีข้อแม้ว่า เมื่อไม่เข้าโรงเรียนต้องเลือกว่าจะเรียนแบบ non school หรือ ทำงาน...
แต่บ้านเรา กลับเห้นเด็กนอกระบบ นอกโรงเรียนเป็นปัญหาใหญ่โต...เด็กไม่เรียนคือเด็กไร้อนาคต...เด็กเลวๆๆๆๆๆ....เด็กเหลือขอ ฯลฯ แล้วก็ปิดโอกาสเด็กเหล่านี้โดยกฎหมาย คือ ห้ามจ้างงานเด็ก...ไม่จ้างแล้วเด็กจะทำอะไร?...หวังจะบีบให้เด็กอยู่ในระบบการศึกษาหรือ?...ได้ไหมล่ะ?...แล้วเด็กทำอะไร...อาชีพสุจริตทำไม่ได้ก็ลงใต้ดิน ค้ายา ส่งโพย ขายตัว...พอทำแล้วก็จะไม่มีโอกาสกลับสู่ชีวิตปกติได้อีก...
เรื่องเพศกับวัยรุ่น ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีปัญหาเรื่องการสอนเพศศึกษามากจากความรู้สึกของผม..."พูดไม่ได้"...นั่นคือคำจำกัดความของเพศศึกษาในไทย กลัวเหลือเกินว่าจะเป็นการชี้โพรงให้กระรอก กลัวว่าการสอนเพศศึกษาจะชี้นำให้เด็กเอาไปทำเป็นการบ้าน...ผมถามว่าไม่สอนแล้วเด็กไม่ทำหรือ? ผมว่ามันแย่กว่าผู้ใหญ่พูดเสียอีก..คนไทยลอบได้เสียกันมาตลอดตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่ใช่แค่ในยุตนี้ แต่ยุคนี้สื่อมันเยอะเราจึงเห็น..เด็กก็เห็น...กระทรวงสาธารณะสุขชี้แจ้งลงหนังสือพิมพ์แล้วว่า เด็กไทยอ่อนเพศศึกษามาก เด็ก ม.2 ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ทำอย่างไรจึงท้อง...การเผยแพร่ภาพการมีเซ้กส์ทำให้เด็กบางส่วน หาผลประโยชน์โดยอ้างว่าเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องพิสูจน์รัก...เด็กที่ไม่รู้จึงตกเป็นเหยื่อ...หากมีการสอนเพศศึกษาแบบตรงๆ ตนเด็กรู้ว่า พ่อ-แม่ทำอย่างไร ลูกจึงเกิดมาได้...สอนตั้งแต่วันแรกที่ลูกมีประจำเดือน แถมปลูกฝังไปด้วยว่ามีลูกแล้วต้องรับผิดชอบอย่างไร เมื่อไหร่จึงสมควรมีเพศสัมพันธ์ เพราะอะไร...ผมว่าเด็กจะมีภูมิคุ้มกันที่ดีตั้งแต่วันนั้น...
สิ่งหนึ่งที่เป็นจุดก่อปัญหาของวัยรุ่นคือ ความไม่แน่นอนของผู้ใหญ่ โดยเฉพาะสังคมในบ้าน...หากผุ้ใหญ่ในบ้านเลี้ยงลูกแบบตามอารมณ์ตนเอง จะพบว่า พ่อ-แม่จะหวังในตัวลูกไปซะทุกอย่าง ลูกแทบไม่มีโอกาสชอบแบบตัวเอง ทำอะไรก็ผืดไปซะหมด...ลองใหม่...ลองคุยกับลูกให้เป็นกิจลักษณะว่า..."ลูก...มี 4 อย่างที่ลูกเป็นแล้วพ่อ-แม่หัวใจสลาย คือ เสพยา เป็นสก๊อย เป็นโจร และรักคนอื่นมากกว่าพ่อ-แม่ นอกนั้นพอทนได้" แล้วคุณก็ทนให้ได้ ลองดูซิว่า ลูกจะเป็นอย่างไร แต่คาถานี้ไม่ใช่คาถาแก้ แต่เป็นคาถากัน คุณต้องพูดตั้งแต่ลูกยังไม่มีพฤติกรรม ...อีกอย่างหนึ่งคือ ก่อนจะดุลูก พิจารณาให้ดีว่าลูกคุณ ยังเป็นเด็กหรือโตแล้วกันแน่ เลือกเอาซักอย่าง ไม่ใช่ตื่นสายก็ด่าว่าเป็นเด็กเป็นเล็กหัดตื่นสาย พอลูกนั่งเฉยๆก็บ่นว่าโตแล้วไม่รู้จักช่วยงาน พอลูกจะดูทีวีตอนดึกก็บอกว่าเป็นเด็กนอนดึกไม่ได้...ลูกสับสนนะครับ
ปัญหาเยาวชนล้วนแล้วแต่เกิดจากผู้ใหญ่...ซึ่งขาดวิสัยทัศน์ ขาดจิตสำนึก อคติ ยึดติดทิฐิ มีผลประโยชน์จากเด็ก ไม่สานต่อชอบก่อของใหม่ๆแบบมั่วๆ มองปัญหาจุดเดียว แก้ปัญหาไม่เป็น คิดวิธีการได้แต่แบบไม่ยั่งยืน เลือกทำงานแบบเสร็จเร็ว ถ่ายรูปได้ มีป้ายสวย ที่สำคัญ...ขาดความกล้าหาญในการแก้ไขปัญหา
ภาพคลิปในโรงหนังของเด็ก เป็นความผิดของเด็กผุ้ชายที่ทำมิดีมิร้ายกับเด็กผู้หญิง เป็นความผิดของเด็กผู้หญิงที่ไม่ปกป้องศักดิ์ศรีของตนเอง หรือ เป็นความผิดของโรงหนังที่ติดกล้องวงจรปิด เป็นความผิดของพนักงานที่เผยแพร่คลิปนี้ เป็นความผิดของโรงเรียนที่ปล่อยเด็กเร็วเกินไป เป็นความผิดของคนขายตั๋วที่ขายตั๋วให้เด็กที่มากันสองคน เป็นความผิดของครูที่ไม่สั่งสอนว่าห้ามมีอะไรกันในโรงหนัง เป็นความผิดของพ่อ-แม่ที่ไม่สร้างจิตสำนึกให้เป็นภูมิคุ้มกันแก่เด็ก เป้นความผิดของรัฐที่ให้การศึกษาแบบจบง่ายๆไม่ต้องรับผิดชอบให้กับเด็ก เป็นความผิดของทุกคนที่ดูคลิป!!...ความผิดของใครครับ???
วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2555
วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2555
ดูงานโรงเรียนสังกัด อบจ.ภูเก็ต
เคยโพสต์บล๊อกไว้ว่าจะมีภูเก็ตภาค 2 ต่อ แต่ไม่รู้จะเขียนอะไร จริงๆอยากเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการไป"เที่ยว" แต่ก็เห็นว่าหลายคนๆ ก็ได้ไปทริปอื่นๆกัน เล่าไปคงเบื่อ แถมคนไม่ได้ไปจะเคืองว่ามาเล่าให้อิจฉาตาร้อนอีก ดังนั้นเอาเป็นว่า ผมเล่าเรื่องการไปดูโรงเรียนสังกัด อบจ. ของภูเก้ตก็แล้วกัน
โรงเรียนสังกัด อบจ.ภูเก็ตที่เราไปดูงาน มี 2 โรงเรียน คือ โรงเรียนบ้านบางเหนียว และโรงเรียนปลูกปัญญา ก่อนอื่นผมขออนุญาตกล่าวขออภัยก่อน หากข้อความใดผิดพลาดจากความเป็นจริง เพราะการไปดูงานคราวนี้อาศัยการ ฟัง และ จำ ล้วนๆ จะมีก็เพียงภาพถ่ายที่บันทึกมา
โรงเรียนสังกัด อบจ. ก็เหมือนกับโรงเรียนสังกัด กทม. ของเรานั่นเอง คือ เป็นโรงเรียนของการปกครองส่วนท้องถิ่นเหมือนกัน มีเจ้านายเป็นข้าราชการสายปกครองหรือข้าราชการสามัญเหมือนเราทุกประการ ดังนั้น เขาก็น่าจะเหมือนเรา ไม่น่าจะแตกต่าง แต่ ไม่เป็นเช่นนั้นครับ พอไปดูไปฟังบรรยายแล้ว ถ้าไม่ใช่ปลูกผักชีนะ ผมว่าโรงเรียน อบจ. นี่น่าสนใจหลายเรื่อง ผมจะพูดถึงเรื่องที่ผมคิดว่าเด็ดๆ และมีความเหมือนกันของทั้งสองโรงเรียนที่ไปดูก็แล้วกัน
ทั้งสองโรงเรียนที่ไปดูงาน เขามีการเตรียมการใหญ่โตเหมือนจะมีผู้ใหญ่มาตรวจราชการอย่างไรอย่างนั้น โรงเรียนเทศบาลบ้านบางเหนียวเตรียมวงดนตรี นักเรียนตั้งแถวรับจนผมรู้สึกแปลกใจเลย พอเข้าห้องประชุม ทั้งสองโรงเรียนมีผู้เกี่ยวข้องมาต้อนรับจนแน่นห้องประชุมไปหมด นายก อบจ. ศึกษาฯ ผู้บริหาร สมาคมผู้ปกครอง ศิษย์เก่า เครือข่าย เรียกว่ามากันครบเลย จนการบรรยายภาพรวมโรงเรียนกลายเป็นภาพละเอียดไปเลย
ในส่วนของการบรรยาย เท่าที่ฟังนโยบายก็คล้ายๆกัน คล้ายเรา คือ มีนโยบาบ วิสัยทัศน์ ซึ่งแน่นอน ย่อมแตกต่างกัน แต่เรื่องที่ผมต้องมาหยุดสนใจฟังคือ ทั้งสองโรงเรียน ผู้บริหารชอบออกตัวว่า เป็นโรงเรียนภูธร อะไรก็สู้ กทม. ไม่ได้ งบจังหวัดก็จำกัด ไม่มากมายเหมือน กทม..... แต่ที่ผมเห็นตัวเลขงบประมาณของโรงเรียนบนสไลด์นี่...ไม่น่าจะภูธรเลย ได้ยินคนลือกันมานานแล้วว่า โรงเรียน อบจ. งบเลยอะ แต่ผมไม่คิดว่ามันจะเยอะถึงขนาดตัวเลขงบ 9 หลัก ในระยะ 4-5 ปี (ผมเข้าใจว่า เขาคงพยายามจะสื่อว่า อบจ.ชุดนี้ให้เงินโรงเรียนมาเท่าไหร่แล้ว) ของจตุจักรเรา ศึกษาเขตบอกว่าบางปีงบอยู่ที่ 5 - 6 ล้าน แบ่งใช้ 7 โรงเรียน นี่อาจเป็นเพราะ"การเมือง" ฟังแล้วแอบอิจฉา แต่เราก็ไม่รู้ว่า งบที่ต่างกัน จะมีโครงสร้างการใช้งบที่ต่างกันหรือไม่ คือเขาได้เป็นสิบล้าน ร้อยล้าน แต่อาจต้องจัดสรรเงินเดือนครูเองหรือเปล่า...
เรื่องที่สองที่แอบอิจฉาคือพื้นที่ของโรงเรียน ทั้งสองโรงเรียนมีพื้นที่กว้างขวางหลายสิยไร่ มีห้องเรียนมากมาย สนามกว้าง มีโรงอาหารที่เป็นโรงอาหาร ซึ่งช่างแตกต่างจากโรงเรียน กทม.จริงๆ ที่จะมีเหมือน กทม. ก็คือ มีตั้งแต่อนุบาลจนถึงมัธยมนี่แหละครับ ที่น่าสนใจคือ เขาให้ความสำคัญกับห้องพิเศษ เช่น ห้องวิทย์ ห้องโสต ห้องคอม มาก ถึงกับมีการจัดงานหางบมาสร้างห้องพิเศษพวกนี้ ผอ.โรงเรียนปลูกปัญญาชวนผมไปดูห้องถ่ายทอดทีวีของโรงเรียน เห็นแล้วก็อึ้งๆ เพราะโรงเรียนดูภูมิใจมากเพราะกว่าจะได้ห้องและระบบนี้มา มันใช้งบเยอะมาก มีนักเรียนชมรมจัดรายการออกอากาศ แม้ขณที่เราไปดูงาน นักเรียนก็เชิญคณะดูงานไปสัมภาษณ์ออกรายการ ...แต่ของเราสิ...
เรื่องข้างบนอาจจะดูทำยากไปนิด เรามาดูเรื่องเบาๆกันบ้าง โรงเรียนเทศบาลบ้านบางเหนียว ใช้นักเรียนในการต้อนรับคณะดูงานจำนวนมาก ทั้งแจกของว่าง แจกเอกสาร การแสดง ผมสังเกตุเห็นว่า นักเรียนบางคนมีเข็มอันใหญ่ๆ ติดอยู่ที่เสื้อ แต่ไม่ได้มีทุกคน ถ่ายรูปมาดูก็เห็นว่า เข็มมีข้อความว่า "คนดีศรีบาเหนียว" ... เหมือนคนดีศรี มปน. เลยครับ นักเรียนเล่าให้ฟังว่า มาจาการคัดสรรโดยครูเลือกมาตรงๆเลย ไม่ได้ส่งชื่ออะไรทั้งนั้น แล้วก็มีคนได้เยอะ ในห้องเรียนของนักเรียนคนที่ผมคุยด้วย มีคนได้เข็มนี้ประมาณครึ่งห้อง บางคนได้มาตั้งแต่ประถม บางคนเพิ่งได้ นักเรียนตอบได้อย่างฉะฉานเหมือนซ้อมมาว่า คนดีของเขาคือ เรียนดี มีคุณธรรม และมีจิตอาสา(ประมาณนี้ครับ)
ออกมาข้างนอก เดินไปดูสภาพรอบโรงเรียน ดูโรงเรียนปลูกปัญญาจะดูดีกว่า ดูเหมือนพื้นที่ฝั่งหน้าโรงเรียนหลายๆส่วน ได้รับการปรับปรุงเมื่อไม่นานมานี้ ผมชอบใจอยู่ 3 จุด คือ
1. สนาม โรงเรียนปลูกปัญญามีนักกีฬาทีมโรงเรียนฝึกซ้อม เช่น วอลเล่ย์ และบาสฯ เขามีการรองเบาะที่สนาม ป้องกันการบาดเจ็บ ที่สำคัญนักเรียนของเขาไม่ใช้เตะฟุตบอล คนเตะบอลจะไปใช้อีกสนามหนึง
2. ตู้โทรศัพท์ ผมไม่รู้จะบรรยายอย่างไร ดูภาพก็แล้วกันครับ
3. ห้องสมาคมผู้ปกครอง เป็นการสร้างขึ้นใหม่ใต้อาคารที่เคยเป็นโถงโล่ง มีคนของสมาคมอยู่ในห้องเสมอ (โดยมากเป็นผู้ที่อายุเกิน 60 แล้ว จะมานั่งคอยช่วยเหลือโรงเรียนอยู่ที่นี่ ดีกว่าไปนั่งที่อื่น...ฟังแล้วซึ้งจัง)
ตอนออกจากโรงเรียนเทศบาลหลบ้านบางเหนียว ผมเดินไปข้างโรงเรียนไปซื้อน้ำดื่ม พอเดินไปถึงข้างโรงเรียน ก็พบภาพแปลกตา แต่ไม่แปลกใจอยู่ 1 ภาพ และภาพแปลกตาและแปลกใจอีก 1 ภาพ ผมต้องย้อนไปเอากล้องที่รถมาถ่ายภาพนี้ นั่นก็คือ ภาพอาคารของโรงเรียนที่อยุ่ติดถนนซอยโดยไม่มีรั้วกั้น แปลกตรงที่สร้างได้อย่างไร มันผิดระเบียบโยธาฯหรือเปล่า แต่ภาพที่ซ้อนกันอยู่อีกภาพคือ ที่จอดจักรยานยนต์ครับ...ผมสอบถามร้านขายน้ำว่ารถพวกนี้ของใคร ทำไมมาจอดแบบนี้ ผมได้คำตอบตามคาดครับ จักรยานยนต์ของนักเรียนและพนักงานของโรงเรียนแต่ไม่ใช่ของครู ครูจะจอดข้างใน...
ผมแกล้งถามต่อว่า ทำไมเด็กต้องขี่มอเตอร์ไซด์มาโรงเรียนด้วนนะ ผมโดนเจ้าของร้างตอกเลยว่า ภูเก็ตมันไม่ได้เดินทางสะดวกเหมือนกรุงเทพนะคุณ เด็กที่ขี่มอเตอร์ไซด์มามักเป็นเด็กที่บ้านอยู่นอกเส้นทางรถประจำทาง...สรุปคือขี่มาเพราะจำเป็น...ความจริงผมก็แกล้งถามไปอย่างนั้นแหละครับ ประชดตัวเอง...เพราะโรงเรียน กทม.ของเราอยู่กันกลางชุมชน รถประจำทางก็มากมาย ส่วนมากบ้านเด็กก็อยู่รอบๆโรงเรียน เพราะเรามีโรงเรียนบริการในพื้นที่เยอะ เดิน 5 นาทีก็ถึงโรงเรียนแล้ว่ แต่นักเรียนก็ขี่มอเตอร์ไซด์มาโรงเรียน บางคนบ้านอยู่คอนโดฯ ยังขี่มาเลย ไม่รู้ว่าจำเป็นอะไรนักหนา โรงเรียนก็อนุญาต แถมให้มาจอดข้างในได้...จอดกันเป็นสิบๆคัน แล้วก็ขโมยอะไหล่กัน ทำล้มกัน ขี่เล่น แว้นกันในโรงเรียน ผมว่ามันดูอันตราย เพราะเด็กขี่รถกันด้วยความคนองตามวัย เป็นแฟชั่นมากกว่าความจำเป็น...โรงเรียนยอมให้จอดในโรงเรียนก็เพราะสงสารกลัวว่าจะหาย...มันกลายเป็นการส่งเสริมหรือเปล่า...ตอนที่ผมไปอบรมทำหลักสูตรที่อุบล ผ่านไปดูงานโรงเรียนตั้งหลายโรงเรียน ผมก็เห็นว่าเด็กจอดจักรยานยนต์นอกโรงเรียนทั้งนั้น เพราะต่างจังหวัดรถโดยสารมันลำบาก บางโรงเรียนข้างโรงเรียนมีจักรยานยนต์นักเรียนจอดเรียงกันเป็นร้อยๆ โรงเรียนสังกัด สพฐ. ในเขตกรุงเทพฯ เขาห้ามนักเรียนนำรถยนต์รถจักรยายนต์มาโรงเรียนกันทั้งนั้น อย่าว่าแต่ขี่เข้ามาในโรงเรียนเลย เอาไปแอบจอดตลาดนัดหน้าโรงเรียน ครูเห็นยังโดนเรียกผู้ปกครองเลย...เขาไม่ส่งเสริม เขาห้าม เพราะเขาเป็นห่วงเรื่องอุบัติเหตุ มากกว่าห่วงเรื่องสิทธิส่วนบุคคล!!
โรงเรียนสังกัด อบจ.ภูเก็ตที่เราไปดูงาน มี 2 โรงเรียน คือ โรงเรียนบ้านบางเหนียว และโรงเรียนปลูกปัญญา ก่อนอื่นผมขออนุญาตกล่าวขออภัยก่อน หากข้อความใดผิดพลาดจากความเป็นจริง เพราะการไปดูงานคราวนี้อาศัยการ ฟัง และ จำ ล้วนๆ จะมีก็เพียงภาพถ่ายที่บันทึกมา
โรงเรียนสังกัด อบจ. ก็เหมือนกับโรงเรียนสังกัด กทม. ของเรานั่นเอง คือ เป็นโรงเรียนของการปกครองส่วนท้องถิ่นเหมือนกัน มีเจ้านายเป็นข้าราชการสายปกครองหรือข้าราชการสามัญเหมือนเราทุกประการ ดังนั้น เขาก็น่าจะเหมือนเรา ไม่น่าจะแตกต่าง แต่ ไม่เป็นเช่นนั้นครับ พอไปดูไปฟังบรรยายแล้ว ถ้าไม่ใช่ปลูกผักชีนะ ผมว่าโรงเรียน อบจ. นี่น่าสนใจหลายเรื่อง ผมจะพูดถึงเรื่องที่ผมคิดว่าเด็ดๆ และมีความเหมือนกันของทั้งสองโรงเรียนที่ไปดูก็แล้วกัน
ทั้งสองโรงเรียนที่ไปดูงาน เขามีการเตรียมการใหญ่โตเหมือนจะมีผู้ใหญ่มาตรวจราชการอย่างไรอย่างนั้น โรงเรียนเทศบาลบ้านบางเหนียวเตรียมวงดนตรี นักเรียนตั้งแถวรับจนผมรู้สึกแปลกใจเลย พอเข้าห้องประชุม ทั้งสองโรงเรียนมีผู้เกี่ยวข้องมาต้อนรับจนแน่นห้องประชุมไปหมด นายก อบจ. ศึกษาฯ ผู้บริหาร สมาคมผู้ปกครอง ศิษย์เก่า เครือข่าย เรียกว่ามากันครบเลย จนการบรรยายภาพรวมโรงเรียนกลายเป็นภาพละเอียดไปเลย
ในส่วนของการบรรยาย เท่าที่ฟังนโยบายก็คล้ายๆกัน คล้ายเรา คือ มีนโยบาบ วิสัยทัศน์ ซึ่งแน่นอน ย่อมแตกต่างกัน แต่เรื่องที่ผมต้องมาหยุดสนใจฟังคือ ทั้งสองโรงเรียน ผู้บริหารชอบออกตัวว่า เป็นโรงเรียนภูธร อะไรก็สู้ กทม. ไม่ได้ งบจังหวัดก็จำกัด ไม่มากมายเหมือน กทม..... แต่ที่ผมเห็นตัวเลขงบประมาณของโรงเรียนบนสไลด์นี่...ไม่น่าจะภูธรเลย ได้ยินคนลือกันมานานแล้วว่า โรงเรียน อบจ. งบเลยอะ แต่ผมไม่คิดว่ามันจะเยอะถึงขนาดตัวเลขงบ 9 หลัก ในระยะ 4-5 ปี (ผมเข้าใจว่า เขาคงพยายามจะสื่อว่า อบจ.ชุดนี้ให้เงินโรงเรียนมาเท่าไหร่แล้ว) ของจตุจักรเรา ศึกษาเขตบอกว่าบางปีงบอยู่ที่ 5 - 6 ล้าน แบ่งใช้ 7 โรงเรียน นี่อาจเป็นเพราะ"การเมือง" ฟังแล้วแอบอิจฉา แต่เราก็ไม่รู้ว่า งบที่ต่างกัน จะมีโครงสร้างการใช้งบที่ต่างกันหรือไม่ คือเขาได้เป็นสิบล้าน ร้อยล้าน แต่อาจต้องจัดสรรเงินเดือนครูเองหรือเปล่า...
เรื่องที่สองที่แอบอิจฉาคือพื้นที่ของโรงเรียน ทั้งสองโรงเรียนมีพื้นที่กว้างขวางหลายสิยไร่ มีห้องเรียนมากมาย สนามกว้าง มีโรงอาหารที่เป็นโรงอาหาร ซึ่งช่างแตกต่างจากโรงเรียน กทม.จริงๆ ที่จะมีเหมือน กทม. ก็คือ มีตั้งแต่อนุบาลจนถึงมัธยมนี่แหละครับ ที่น่าสนใจคือ เขาให้ความสำคัญกับห้องพิเศษ เช่น ห้องวิทย์ ห้องโสต ห้องคอม มาก ถึงกับมีการจัดงานหางบมาสร้างห้องพิเศษพวกนี้ ผอ.โรงเรียนปลูกปัญญาชวนผมไปดูห้องถ่ายทอดทีวีของโรงเรียน เห็นแล้วก็อึ้งๆ เพราะโรงเรียนดูภูมิใจมากเพราะกว่าจะได้ห้องและระบบนี้มา มันใช้งบเยอะมาก มีนักเรียนชมรมจัดรายการออกอากาศ แม้ขณที่เราไปดูงาน นักเรียนก็เชิญคณะดูงานไปสัมภาษณ์ออกรายการ ...แต่ของเราสิ...

ออกมาข้างนอก เดินไปดูสภาพรอบโรงเรียน ดูโรงเรียนปลูกปัญญาจะดูดีกว่า ดูเหมือนพื้นที่ฝั่งหน้าโรงเรียนหลายๆส่วน ได้รับการปรับปรุงเมื่อไม่นานมานี้ ผมชอบใจอยู่ 3 จุด คือ
1. สนาม โรงเรียนปลูกปัญญามีนักกีฬาทีมโรงเรียนฝึกซ้อม เช่น วอลเล่ย์ และบาสฯ เขามีการรองเบาะที่สนาม ป้องกันการบาดเจ็บ ที่สำคัญนักเรียนของเขาไม่ใช้เตะฟุตบอล คนเตะบอลจะไปใช้อีกสนามหนึง
2. ตู้โทรศัพท์ ผมไม่รู้จะบรรยายอย่างไร ดูภาพก็แล้วกันครับ
3. ห้องสมาคมผู้ปกครอง เป็นการสร้างขึ้นใหม่ใต้อาคารที่เคยเป็นโถงโล่ง มีคนของสมาคมอยู่ในห้องเสมอ (โดยมากเป็นผู้ที่อายุเกิน 60 แล้ว จะมานั่งคอยช่วยเหลือโรงเรียนอยู่ที่นี่ ดีกว่าไปนั่งที่อื่น...ฟังแล้วซึ้งจัง)
ตอนออกจากโรงเรียนเทศบาลหลบ้านบางเหนียว ผมเดินไปข้างโรงเรียนไปซื้อน้ำดื่ม พอเดินไปถึงข้างโรงเรียน ก็พบภาพแปลกตา แต่ไม่แปลกใจอยู่ 1 ภาพ และภาพแปลกตาและแปลกใจอีก 1 ภาพ ผมต้องย้อนไปเอากล้องที่รถมาถ่ายภาพนี้ นั่นก็คือ ภาพอาคารของโรงเรียนที่อยุ่ติดถนนซอยโดยไม่มีรั้วกั้น แปลกตรงที่สร้างได้อย่างไร มันผิดระเบียบโยธาฯหรือเปล่า แต่ภาพที่ซ้อนกันอยู่อีกภาพคือ ที่จอดจักรยานยนต์ครับ...ผมสอบถามร้านขายน้ำว่ารถพวกนี้ของใคร ทำไมมาจอดแบบนี้ ผมได้คำตอบตามคาดครับ จักรยานยนต์ของนักเรียนและพนักงานของโรงเรียนแต่ไม่ใช่ของครู ครูจะจอดข้างใน...

วันพฤหัสบดีที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2555
ไป รนบ.
รนบ. หรือ โรงเรียนราชวินิตบางเขน โรงเรียนสังกัด สพม. ซึ่งอยู่ใกล้เรานี่เอง...แล้วทำไมต้องพอโพสต์บล๊อกด้วยล่ะ?
ก็เพราะว่ามันรู้สึกแปลกๆ น่ะสิครับท่าน
เมื่อวานนี้ในที่ประชุมตอนท้ายๆ(จริงๆ ช่วงนั้นกำลังเคลิ้มเลย) อยู่ๆ ก็ได้ยินชื่อตัวเอง! อุ๊ย.ตกใจ เรื่องอะไรหว่า...ตอนแรกก็นึกว่าเรื่องเข็มเรียนดี ที่ไหนได้ เรื่องไป รนบ. กับครูประจวบนี่เอง...แล้วทำไมต้องไป?
เรื่องมีอยู่ว่า ทางโรงเรียน รนบ.(ผมขอใช้ชื่อย่อก็แล้วกันนะครับ ไม่เช่นนั้นต้องพิมพ์ชื่อเต็มตลอดเลย เพราะเขามีหลายราชวินิตเหลือเกิน..เดี๋ยวจะพาดพิง) มีโครงการสร้างสัมพันธ์(อันดี) หรือจะเรียกว่าสร้างภาพพจน์ที่ได้ก็ได้ ในส่วนของนักเรียนนะครับ ครูน่ะดีอยู่แล้ว เพราะโรงเรียนเรากับ รนบ. มีปัญหากันบ่อย ทาง รนบ. ก็เลยทีโครงการจะนำนักเรียน รนบ. มาไหว้ครูเราในวันไหว้ครู แต่เผอิญว่า รนบ.ไหว้ครูก่อนเรา คือวันนี้(14 มิ.ย.55) เราก็เลยต้องไปก่อน
ครูประจวบคัดนักเรียนไว้กลุ่มหนึ่ง ซึ่งผู้บริหารบอกว่าไม่เอาเด็กดีๆเรียบร้อยๆไปหรอก เอาพวกหัวโจกนี่แหละไป ก็ได้กลุ่มนี้แหละครับ หัวโจกพี่จวบ...
พิธีการของ รนบ. ดูเรียบง่าย รวดเร็วดีจริงๆ เขาก็เข้าแถวเรียงตามห้องเหมือนของเรา แล้วครูที่ปรึกษาก็นั่งตรงหัวแถวของแต่ละห้อง คณะผู้บริหารก็นั่งก่อนห้อง 1/1 ...เขาสั่งซ้ายหันทีเดียวทุกคนก็พร้อมเริ่มพิธีได้เลย ตั้งแต่ประธานมาจนเจิมหนังสือ ใช้เวลาแค่ 15 นาที เพราะเขาไม่เดินเลย พานก็อยู่ตรงหน้าแถวอยู่แล้ว กราบทีเดียวจบเลย...แต่ตอนก่อนเริ่มพิธีนี่สิ...ครูปกครองต้องมาปราบเสียงนักเรียนตั้งนาน จนต้องเป่านกหวีดใส่ไมค์ถึงจะเงียบได้ นานกว่าตอนทำพิธีอีก...แสดงว่าเด็กเราก็ไม่ผิดปกติหรอก ที่มันจะคุยกันตอนอยุ่หน้าเสาธงไม่ฟังใคร
เราขนคนไปตั้งเยอะ แต่พอถึงคิว เขาให้แค่ตัวแทน 2 คน เข้าไปไหว้ ผอ. แป็ปเดียว 5 วินาทีเอง แต่ทุกคนก็ได้รับเชิญให้ไปถ่ายรูปกันท่าน ผอ. ... ครูประจวบรีบชิ่งเลย พอบอกถ่ายรูปเนี่ย กลัวกล้องรึไงครับ? เหมือนผมแหละ ไม่ชอบถ่ายรูป ถึงได้หากล้องมาถือไง จะได้ไม่โดนถ่าย อิอิ...
ผมว่า...กิจกรรมนี้ดู(จะ)ดี ต้องรอดูตอนที่นักเรียน รนบ. มาไหว้ครูของเรา แล้วก็คงต้องรอดูผลในระยะยาวต่อไป ซึ่งผมต้องขอชื่นชมในความพยายามในการแก้ไขปัญหานักเรียนตีกันของโรงเรียนราชวินิตบางเขนด้วยครับ แม้จะเป็นจุดเล็กๆ แต่ก็หวังว่าคงมีกิจกรรมส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีอย่างอื่นๆต่อไป เช่น อาจจัดแข่งขันตอบปัญหาทางวิชาการร่วมกัน หรือ เข้าค่ายสลับโรงเรียนกัน คือ เอานักเรียน รนบ. มาเข้าค่ายนอนที่ มปน. เอานักเรียน มปน.ไปเข้าค่ายนอนค้างที่ รนบ. ทั้งสองโรงเรียนอาจจัดพี่เลี้ยงคนละโรงเรียนมาช่วยกิจกรรม ทำนองนี้ จะช่วยเสริมความสัมพันธ์ได้ดี
แต่ผมว่า...เราแก้ปัญหาไม่ถูกที่คัน... และเราดูกังวลกับปัญหานี้ไม่ค่อยตรงจุด เพราะจากการศึกษาโดยการสอบถามนักเรียนของเรา(มปน.) พบว่า นักเรียน มปน. - รนบ. เป็นเพื่อนรู้จักกันเป็นจำนวนมาก เป็นเพราะนักเรียนทั้งสองโรงเรียนอยู่ในพื้นที่เดียวกัน หลายคนเคยเรียนที่เดียวกันมา เช่น โรงเรียนรัตนโกสินทร์ฯ วัดเสมียนฯ หรือ ประชานิเวศน์
เท่าที่สอบถาม(สอบสวน)นักเรียนที่มีเรื่องกับ รนบ. ทั้งชายและหญิง พบว่า ส่วนใหญ่ เด็กรู้จักกัน เป็นเพื่อนกัน อยู่กลุ่มเดียวกัน บ้านใกล้กัน แต่ทะเลาะกัน โดยจุดเริ่มต้นของการทะเลาะเบาะแว้ง ไม่เกี่ยวกับสถาบัน บ้างเป็นเรื่องชู้สาว เรื่องเงินทอง มองหน้ากันตอนอยู่แถวบ้าน แต่ที่กลายมาเป็นศึกระหว่างโรงเรียนเพราะมีคนพยายามนำเรื่องสีมาเกี่ยวข้อง เพราะเด็กสมัยนี้ทะเลาะกันแปลก มองหน้ากัน ข้องใจกัน ด่ากัน แต่คู่กรณีจะไม่ลงมือต่อกัน แต่จะไป"ฟ้องเพื่อน"แทน แล้วคำที่ไปฟ้องนี่แหละที่ทำให้กลายเป็นศึกระหว่างโรงเรียน...เพราะเด็กไม่มีอะไรจะสื่อให้เพื่อนฟังได้ว่า คู่กรณีของตนเองคือใคร นอกจากบอกว่าเป็นเด็กโรงเรียนไหน แล้วคนที่ไปฟ้อง มักเป็นพวกหัวรุนแรง อยากใช้กำลัง เป็นหัวโจก แต่จริงๆแล้วเด็กพวกนี้รักเพื่อน พอเพื่อนมาบอกว่า โดนเด็กโรงเรียนนั้นหาเรื่อง...หัวโจกพวกนี้ก็พร้อมจะต่อยทุกคนที่อยู่โรงเรียนนั้น ที่สำคัญ กลุ่มของเด็กมักมีมากกว่าเพื่อน คือ จะมีรุ่นพี่อยู่ในกลุ่ม บ้างก็มีเด็กนอกระบบการศึกษาอยู่ในกลุ่ม การทะเลาะวิวาทจึงเพิ่มความรุนแรงเป็นยกพวกตีกันเป็นกลุ่มใหญ่ ซึ่งจุดนี้เองที่ผมว่าเราต้องเปลี่ยนมุมมองใหม่ ว่าปัญหา"ตีกัน" มันเริ่มจากใครกันแน่???
สุดท้าย ขอขอบคุณผู้บริหาร คณะครูของทั้งของ รนบ. และ มปน. ที่เห็นความสำคัญของปัญหา และพยายามแก้ปัญหาในเชิงรุก ดีกว่าปล่อยให้เกิดเหตุแล้วตามไปแก้ไข น้องๆนักเรียน ก็ดูตัวอย่างของคุณครูนะครับ เพราะท้ายที่สุด ไม่ว่าเราจะจบจากโรงเรียนอะไร เราก็มีโอกาสที่จะอยู่ร่วมสถาบันเดียวกันในอนาคต... ยกตัวอย่างเช่นครูเป็นต้น มาจากหลากหลาย สุดท้ายกลายเป็นคนร่วมอาชีพเดียวกัน ถ้าสืบว่าครูแต่ละคนจบมาจากที่ไหน อาจพบว่าหลายคนอาจจบมาจากโรงเรียนที่ไม่ค่อยจะถูกกัน แต่ก็ไม่มีใครถามถึง แม้จะรู้ก็ไม่มีใครคิดจะเอาเรื่องอะไร หรือ บางครั้งคู่กรณีในอดีตอาจมาเป็นครูโรงเรียนเดียวกันแล้วมาเจอกันด้วยซ้ำ เพราะพอพูดถึงเรื่องนี้ ทุกคนจะหัวเราะแบบกร่อยๆ แล้วก็จะทำปากมุบมิบเบาๆว่า "...โคตรงี่เง่าเลยตอนนั้น..."
ก็เพราะว่ามันรู้สึกแปลกๆ น่ะสิครับท่าน
เมื่อวานนี้ในที่ประชุมตอนท้ายๆ(จริงๆ ช่วงนั้นกำลังเคลิ้มเลย) อยู่ๆ ก็ได้ยินชื่อตัวเอง! อุ๊ย.ตกใจ เรื่องอะไรหว่า...ตอนแรกก็นึกว่าเรื่องเข็มเรียนดี ที่ไหนได้ เรื่องไป รนบ. กับครูประจวบนี่เอง...แล้วทำไมต้องไป?
เรื่องมีอยู่ว่า ทางโรงเรียน รนบ.(ผมขอใช้ชื่อย่อก็แล้วกันนะครับ ไม่เช่นนั้นต้องพิมพ์ชื่อเต็มตลอดเลย เพราะเขามีหลายราชวินิตเหลือเกิน..เดี๋ยวจะพาดพิง) มีโครงการสร้างสัมพันธ์(อันดี) หรือจะเรียกว่าสร้างภาพพจน์ที่ได้ก็ได้ ในส่วนของนักเรียนนะครับ ครูน่ะดีอยู่แล้ว เพราะโรงเรียนเรากับ รนบ. มีปัญหากันบ่อย ทาง รนบ. ก็เลยทีโครงการจะนำนักเรียน รนบ. มาไหว้ครูเราในวันไหว้ครู แต่เผอิญว่า รนบ.ไหว้ครูก่อนเรา คือวันนี้(14 มิ.ย.55) เราก็เลยต้องไปก่อน
ครูประจวบคัดนักเรียนไว้กลุ่มหนึ่ง ซึ่งผู้บริหารบอกว่าไม่เอาเด็กดีๆเรียบร้อยๆไปหรอก เอาพวกหัวโจกนี่แหละไป ก็ได้กลุ่มนี้แหละครับ หัวโจกพี่จวบ...
เราไปถึง รนบ. ตอนประมาณ 8 โมง ปรากฎว่าเขากำลังจะเริ่มพิธีเลย ไม่ว่ารอเรารึเปล่า...ช่วงที่รถเลี้ยวเข้าซอยชินเขต บรรยากาศในรถดูตื่นเต้น มีการชี้ดูนั่นดูนี่กันไหญ่ ส่วนมากก็จะดูเด็ก รนบ. กันนั่นแหละ...แหม ...เตรียมหาทางหนีทีไล่กันไว้เชียว ทำอย่างกับครูจะปล่อยลงกลางทางซะงั้น...พอถึงโรงเรียนยิ่งไปกันใหญ่ มีครูฝ่ายปกครอง รนบ. มารับ เขาให้จอดรถตรงหน้าประตู มีเสียงในรถดังขึ้นทันทีเลย "โห..ลงตรงนี้เลยเหรอ" เปิดประตูแล้วมันยังเกี่ยงกันลง อะไรจะเสียวขนาดน๊านนน...
ทาง รนบ. เขาเชิญให้ทั้งครูเราทั้งเด็กเราไปนั่งด้านหน้า!! นั่นหมายถึงเราต้องเดินไปตามทางเดินผ่านนักเรียน รนบ. ทั้งโรงเรียน!! ครูของเขาก็เดินนำไป ครูประจวบเราก็เดินตาม แต่ไอ้นักเรียนเราเนี่ยสิ ยิ่งเดินยิ่งห่างจากครูประจวบมากขึ้นๆ มันขาอ่อนกันรึไง? ไม่มีแรงจะเดิน เร่งยังไงความเร็วก็ไม่เพิ่ม แต่ก็เห็นไหม...ทุกคนก็ไปถึงที่นั่งโดยสวัสดิภาพ ไม่เห็นมีอะไรเลย..ร้อนตัวนี่หว่าพิธีการของ รนบ. ดูเรียบง่าย รวดเร็วดีจริงๆ เขาก็เข้าแถวเรียงตามห้องเหมือนของเรา แล้วครูที่ปรึกษาก็นั่งตรงหัวแถวของแต่ละห้อง คณะผู้บริหารก็นั่งก่อนห้อง 1/1 ...เขาสั่งซ้ายหันทีเดียวทุกคนก็พร้อมเริ่มพิธีได้เลย ตั้งแต่ประธานมาจนเจิมหนังสือ ใช้เวลาแค่ 15 นาที เพราะเขาไม่เดินเลย พานก็อยู่ตรงหน้าแถวอยู่แล้ว กราบทีเดียวจบเลย...แต่ตอนก่อนเริ่มพิธีนี่สิ...ครูปกครองต้องมาปราบเสียงนักเรียนตั้งนาน จนต้องเป่านกหวีดใส่ไมค์ถึงจะเงียบได้ นานกว่าตอนทำพิธีอีก...แสดงว่าเด็กเราก็ไม่ผิดปกติหรอก ที่มันจะคุยกันตอนอยุ่หน้าเสาธงไม่ฟังใคร
เราขนคนไปตั้งเยอะ แต่พอถึงคิว เขาให้แค่ตัวแทน 2 คน เข้าไปไหว้ ผอ. แป็ปเดียว 5 วินาทีเอง แต่ทุกคนก็ได้รับเชิญให้ไปถ่ายรูปกันท่าน ผอ. ... ครูประจวบรีบชิ่งเลย พอบอกถ่ายรูปเนี่ย กลัวกล้องรึไงครับ? เหมือนผมแหละ ไม่ชอบถ่ายรูป ถึงได้หากล้องมาถือไง จะได้ไม่โดนถ่าย อิอิ...
ผมว่า...กิจกรรมนี้ดู(จะ)ดี ต้องรอดูตอนที่นักเรียน รนบ. มาไหว้ครูของเรา แล้วก็คงต้องรอดูผลในระยะยาวต่อไป ซึ่งผมต้องขอชื่นชมในความพยายามในการแก้ไขปัญหานักเรียนตีกันของโรงเรียนราชวินิตบางเขนด้วยครับ แม้จะเป็นจุดเล็กๆ แต่ก็หวังว่าคงมีกิจกรรมส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีอย่างอื่นๆต่อไป เช่น อาจจัดแข่งขันตอบปัญหาทางวิชาการร่วมกัน หรือ เข้าค่ายสลับโรงเรียนกัน คือ เอานักเรียน รนบ. มาเข้าค่ายนอนที่ มปน. เอานักเรียน มปน.ไปเข้าค่ายนอนค้างที่ รนบ. ทั้งสองโรงเรียนอาจจัดพี่เลี้ยงคนละโรงเรียนมาช่วยกิจกรรม ทำนองนี้ จะช่วยเสริมความสัมพันธ์ได้ดี

เท่าที่สอบถาม(สอบสวน)นักเรียนที่มีเรื่องกับ รนบ. ทั้งชายและหญิง พบว่า ส่วนใหญ่ เด็กรู้จักกัน เป็นเพื่อนกัน อยู่กลุ่มเดียวกัน บ้านใกล้กัน แต่ทะเลาะกัน โดยจุดเริ่มต้นของการทะเลาะเบาะแว้ง ไม่เกี่ยวกับสถาบัน บ้างเป็นเรื่องชู้สาว เรื่องเงินทอง มองหน้ากันตอนอยู่แถวบ้าน แต่ที่กลายมาเป็นศึกระหว่างโรงเรียนเพราะมีคนพยายามนำเรื่องสีมาเกี่ยวข้อง เพราะเด็กสมัยนี้ทะเลาะกันแปลก มองหน้ากัน ข้องใจกัน ด่ากัน แต่คู่กรณีจะไม่ลงมือต่อกัน แต่จะไป"ฟ้องเพื่อน"แทน แล้วคำที่ไปฟ้องนี่แหละที่ทำให้กลายเป็นศึกระหว่างโรงเรียน...เพราะเด็กไม่มีอะไรจะสื่อให้เพื่อนฟังได้ว่า คู่กรณีของตนเองคือใคร นอกจากบอกว่าเป็นเด็กโรงเรียนไหน แล้วคนที่ไปฟ้อง มักเป็นพวกหัวรุนแรง อยากใช้กำลัง เป็นหัวโจก แต่จริงๆแล้วเด็กพวกนี้รักเพื่อน พอเพื่อนมาบอกว่า โดนเด็กโรงเรียนนั้นหาเรื่อง...หัวโจกพวกนี้ก็พร้อมจะต่อยทุกคนที่อยู่โรงเรียนนั้น ที่สำคัญ กลุ่มของเด็กมักมีมากกว่าเพื่อน คือ จะมีรุ่นพี่อยู่ในกลุ่ม บ้างก็มีเด็กนอกระบบการศึกษาอยู่ในกลุ่ม การทะเลาะวิวาทจึงเพิ่มความรุนแรงเป็นยกพวกตีกันเป็นกลุ่มใหญ่ ซึ่งจุดนี้เองที่ผมว่าเราต้องเปลี่ยนมุมมองใหม่ ว่าปัญหา"ตีกัน" มันเริ่มจากใครกันแน่???
สุดท้าย ขอขอบคุณผู้บริหาร คณะครูของทั้งของ รนบ. และ มปน. ที่เห็นความสำคัญของปัญหา และพยายามแก้ปัญหาในเชิงรุก ดีกว่าปล่อยให้เกิดเหตุแล้วตามไปแก้ไข น้องๆนักเรียน ก็ดูตัวอย่างของคุณครูนะครับ เพราะท้ายที่สุด ไม่ว่าเราจะจบจากโรงเรียนอะไร เราก็มีโอกาสที่จะอยู่ร่วมสถาบันเดียวกันในอนาคต... ยกตัวอย่างเช่นครูเป็นต้น มาจากหลากหลาย สุดท้ายกลายเป็นคนร่วมอาชีพเดียวกัน ถ้าสืบว่าครูแต่ละคนจบมาจากที่ไหน อาจพบว่าหลายคนอาจจบมาจากโรงเรียนที่ไม่ค่อยจะถูกกัน แต่ก็ไม่มีใครถามถึง แม้จะรู้ก็ไม่มีใครคิดจะเอาเรื่องอะไร หรือ บางครั้งคู่กรณีในอดีตอาจมาเป็นครูโรงเรียนเดียวกันแล้วมาเจอกันด้วยซ้ำ เพราะพอพูดถึงเรื่องนี้ ทุกคนจะหัวเราะแบบกร่อยๆ แล้วก็จะทำปากมุบมิบเบาๆว่า "...โคตรงี่เง่าเลยตอนนั้น..."
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)