ก็เพราะว่ามันรู้สึกแปลกๆ น่ะสิครับท่าน
เมื่อวานนี้ในที่ประชุมตอนท้ายๆ(จริงๆ ช่วงนั้นกำลังเคลิ้มเลย) อยู่ๆ ก็ได้ยินชื่อตัวเอง! อุ๊ย.ตกใจ เรื่องอะไรหว่า...ตอนแรกก็นึกว่าเรื่องเข็มเรียนดี ที่ไหนได้ เรื่องไป รนบ. กับครูประจวบนี่เอง...แล้วทำไมต้องไป?
เรื่องมีอยู่ว่า ทางโรงเรียน รนบ.(ผมขอใช้ชื่อย่อก็แล้วกันนะครับ ไม่เช่นนั้นต้องพิมพ์ชื่อเต็มตลอดเลย เพราะเขามีหลายราชวินิตเหลือเกิน..เดี๋ยวจะพาดพิง) มีโครงการสร้างสัมพันธ์(อันดี) หรือจะเรียกว่าสร้างภาพพจน์ที่ได้ก็ได้ ในส่วนของนักเรียนนะครับ ครูน่ะดีอยู่แล้ว เพราะโรงเรียนเรากับ รนบ. มีปัญหากันบ่อย ทาง รนบ. ก็เลยทีโครงการจะนำนักเรียน รนบ. มาไหว้ครูเราในวันไหว้ครู แต่เผอิญว่า รนบ.ไหว้ครูก่อนเรา คือวันนี้(14 มิ.ย.55) เราก็เลยต้องไปก่อน
ครูประจวบคัดนักเรียนไว้กลุ่มหนึ่ง ซึ่งผู้บริหารบอกว่าไม่เอาเด็กดีๆเรียบร้อยๆไปหรอก เอาพวกหัวโจกนี่แหละไป ก็ได้กลุ่มนี้แหละครับ หัวโจกพี่จวบ...
เราไปถึง รนบ. ตอนประมาณ 8 โมง ปรากฎว่าเขากำลังจะเริ่มพิธีเลย ไม่ว่ารอเรารึเปล่า...ช่วงที่รถเลี้ยวเข้าซอยชินเขต บรรยากาศในรถดูตื่นเต้น มีการชี้ดูนั่นดูนี่กันไหญ่ ส่วนมากก็จะดูเด็ก รนบ. กันนั่นแหละ...แหม ...เตรียมหาทางหนีทีไล่กันไว้เชียว ทำอย่างกับครูจะปล่อยลงกลางทางซะงั้น...พอถึงโรงเรียนยิ่งไปกันใหญ่ มีครูฝ่ายปกครอง รนบ. มารับ เขาให้จอดรถตรงหน้าประตู มีเสียงในรถดังขึ้นทันทีเลย "โห..ลงตรงนี้เลยเหรอ" เปิดประตูแล้วมันยังเกี่ยงกันลง อะไรจะเสียวขนาดน๊านนน...
ทาง รนบ. เขาเชิญให้ทั้งครูเราทั้งเด็กเราไปนั่งด้านหน้า!! นั่นหมายถึงเราต้องเดินไปตามทางเดินผ่านนักเรียน รนบ. ทั้งโรงเรียน!! ครูของเขาก็เดินนำไป ครูประจวบเราก็เดินตาม แต่ไอ้นักเรียนเราเนี่ยสิ ยิ่งเดินยิ่งห่างจากครูประจวบมากขึ้นๆ มันขาอ่อนกันรึไง? ไม่มีแรงจะเดิน เร่งยังไงความเร็วก็ไม่เพิ่ม แต่ก็เห็นไหม...ทุกคนก็ไปถึงที่นั่งโดยสวัสดิภาพ ไม่เห็นมีอะไรเลย..ร้อนตัวนี่หว่าพิธีการของ รนบ. ดูเรียบง่าย รวดเร็วดีจริงๆ เขาก็เข้าแถวเรียงตามห้องเหมือนของเรา แล้วครูที่ปรึกษาก็นั่งตรงหัวแถวของแต่ละห้อง คณะผู้บริหารก็นั่งก่อนห้อง 1/1 ...เขาสั่งซ้ายหันทีเดียวทุกคนก็พร้อมเริ่มพิธีได้เลย ตั้งแต่ประธานมาจนเจิมหนังสือ ใช้เวลาแค่ 15 นาที เพราะเขาไม่เดินเลย พานก็อยู่ตรงหน้าแถวอยู่แล้ว กราบทีเดียวจบเลย...แต่ตอนก่อนเริ่มพิธีนี่สิ...ครูปกครองต้องมาปราบเสียงนักเรียนตั้งนาน จนต้องเป่านกหวีดใส่ไมค์ถึงจะเงียบได้ นานกว่าตอนทำพิธีอีก...แสดงว่าเด็กเราก็ไม่ผิดปกติหรอก ที่มันจะคุยกันตอนอยุ่หน้าเสาธงไม่ฟังใคร
เราขนคนไปตั้งเยอะ แต่พอถึงคิว เขาให้แค่ตัวแทน 2 คน เข้าไปไหว้ ผอ. แป็ปเดียว 5 วินาทีเอง แต่ทุกคนก็ได้รับเชิญให้ไปถ่ายรูปกันท่าน ผอ. ... ครูประจวบรีบชิ่งเลย พอบอกถ่ายรูปเนี่ย กลัวกล้องรึไงครับ? เหมือนผมแหละ ไม่ชอบถ่ายรูป ถึงได้หากล้องมาถือไง จะได้ไม่โดนถ่าย อิอิ...
ผมว่า...กิจกรรมนี้ดู(จะ)ดี ต้องรอดูตอนที่นักเรียน รนบ. มาไหว้ครูของเรา แล้วก็คงต้องรอดูผลในระยะยาวต่อไป ซึ่งผมต้องขอชื่นชมในความพยายามในการแก้ไขปัญหานักเรียนตีกันของโรงเรียนราชวินิตบางเขนด้วยครับ แม้จะเป็นจุดเล็กๆ แต่ก็หวังว่าคงมีกิจกรรมส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีอย่างอื่นๆต่อไป เช่น อาจจัดแข่งขันตอบปัญหาทางวิชาการร่วมกัน หรือ เข้าค่ายสลับโรงเรียนกัน คือ เอานักเรียน รนบ. มาเข้าค่ายนอนที่ มปน. เอานักเรียน มปน.ไปเข้าค่ายนอนค้างที่ รนบ. ทั้งสองโรงเรียนอาจจัดพี่เลี้ยงคนละโรงเรียนมาช่วยกิจกรรม ทำนองนี้ จะช่วยเสริมความสัมพันธ์ได้ดี
แต่ผมว่า...เราแก้ปัญหาไม่ถูกที่คัน... และเราดูกังวลกับปัญหานี้ไม่ค่อยตรงจุด เพราะจากการศึกษาโดยการสอบถามนักเรียนของเรา(มปน.) พบว่า นักเรียน มปน. - รนบ. เป็นเพื่อนรู้จักกันเป็นจำนวนมาก เป็นเพราะนักเรียนทั้งสองโรงเรียนอยู่ในพื้นที่เดียวกัน หลายคนเคยเรียนที่เดียวกันมา เช่น โรงเรียนรัตนโกสินทร์ฯ วัดเสมียนฯ หรือ ประชานิเวศน์
เท่าที่สอบถาม(สอบสวน)นักเรียนที่มีเรื่องกับ รนบ. ทั้งชายและหญิง พบว่า ส่วนใหญ่ เด็กรู้จักกัน เป็นเพื่อนกัน อยู่กลุ่มเดียวกัน บ้านใกล้กัน แต่ทะเลาะกัน โดยจุดเริ่มต้นของการทะเลาะเบาะแว้ง ไม่เกี่ยวกับสถาบัน บ้างเป็นเรื่องชู้สาว เรื่องเงินทอง มองหน้ากันตอนอยู่แถวบ้าน แต่ที่กลายมาเป็นศึกระหว่างโรงเรียนเพราะมีคนพยายามนำเรื่องสีมาเกี่ยวข้อง เพราะเด็กสมัยนี้ทะเลาะกันแปลก มองหน้ากัน ข้องใจกัน ด่ากัน แต่คู่กรณีจะไม่ลงมือต่อกัน แต่จะไป"ฟ้องเพื่อน"แทน แล้วคำที่ไปฟ้องนี่แหละที่ทำให้กลายเป็นศึกระหว่างโรงเรียน...เพราะเด็กไม่มีอะไรจะสื่อให้เพื่อนฟังได้ว่า คู่กรณีของตนเองคือใคร นอกจากบอกว่าเป็นเด็กโรงเรียนไหน แล้วคนที่ไปฟ้อง มักเป็นพวกหัวรุนแรง อยากใช้กำลัง เป็นหัวโจก แต่จริงๆแล้วเด็กพวกนี้รักเพื่อน พอเพื่อนมาบอกว่า โดนเด็กโรงเรียนนั้นหาเรื่อง...หัวโจกพวกนี้ก็พร้อมจะต่อยทุกคนที่อยู่โรงเรียนนั้น ที่สำคัญ กลุ่มของเด็กมักมีมากกว่าเพื่อน คือ จะมีรุ่นพี่อยู่ในกลุ่ม บ้างก็มีเด็กนอกระบบการศึกษาอยู่ในกลุ่ม การทะเลาะวิวาทจึงเพิ่มความรุนแรงเป็นยกพวกตีกันเป็นกลุ่มใหญ่ ซึ่งจุดนี้เองที่ผมว่าเราต้องเปลี่ยนมุมมองใหม่ ว่าปัญหา"ตีกัน" มันเริ่มจากใครกันแน่???
สุดท้าย ขอขอบคุณผู้บริหาร คณะครูของทั้งของ รนบ. และ มปน. ที่เห็นความสำคัญของปัญหา และพยายามแก้ปัญหาในเชิงรุก ดีกว่าปล่อยให้เกิดเหตุแล้วตามไปแก้ไข น้องๆนักเรียน ก็ดูตัวอย่างของคุณครูนะครับ เพราะท้ายที่สุด ไม่ว่าเราจะจบจากโรงเรียนอะไร เราก็มีโอกาสที่จะอยู่ร่วมสถาบันเดียวกันในอนาคต... ยกตัวอย่างเช่นครูเป็นต้น มาจากหลากหลาย สุดท้ายกลายเป็นคนร่วมอาชีพเดียวกัน ถ้าสืบว่าครูแต่ละคนจบมาจากที่ไหน อาจพบว่าหลายคนอาจจบมาจากโรงเรียนที่ไม่ค่อยจะถูกกัน แต่ก็ไม่มีใครถามถึง แม้จะรู้ก็ไม่มีใครคิดจะเอาเรื่องอะไร หรือ บางครั้งคู่กรณีในอดีตอาจมาเป็นครูโรงเรียนเดียวกันแล้วมาเจอกันด้วยซ้ำ เพราะพอพูดถึงเรื่องนี้ ทุกคนจะหัวเราะแบบกร่อยๆ แล้วก็จะทำปากมุบมิบเบาๆว่า "...โคตรงี่เง่าเลยตอนนั้น..."
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น