หลายคนคงได้ทราบข่าวและคงได้เห็นคลิปเกี่ยวกับนักเรียนชายหญิงคู่หนึ่ง ถูกกล้องวงจรปิดในโรงภาพยนตร์จับภาพขณะมีเพศสัมพันธ์ในโรงหนัง!!!...ใครผิด? คำนี้คงเป็นข้อสงสัยที่ตามมาในทันที เพราะคลิปนี้อยู่ในลักษณะ"แอบถ่าย" เพราะผู้ถูกถ่ายไม่รู้ตัว แถมผู้ถูกถ่ายเป็นผู้เยาว์ ที่สำคัญคลิปนี้ถูกเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ตโดยคนที่มีชื่อซึ่งได้ลงทะเบียนไว้กับเวปเผยแพร่คลิปวิดีโออย่างชัดแจ้ง...ผลที่ตามมาคืออะไร?...คงเป็นคำถามที่ตามหลังคำถามข้างบน ซึ่งชัดเจนแล้วว่า ผลเบื้องต้น นักเรียนหญิงได้ลาออกจากโรงเรียนเนื่องจากอับอาย...แล้วนักเรียนชายในคลิปล่ะ?...แล้วเรื่องนี้จะโทษใคร?..จะแก้อย่างไร?...
โดยส่วนตัว..ผมย้ำว่า โดยส่วนตัว...ผมมีความเห็นว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับจิตสำนึกของเด็ก ซึ่งปนด้วยค่านิยม ซึ่งผมไม่รู้ว่าจะเรียกว่าค่านิยมที่ผิดดีหรือไม่ เพราะสื่อ ซึ่งเป็นสิ่งที่เด็กบริโภคมากกว่าการอบรมสั่งสอนของพ่อ-แม่ กำลังอยู่ในสภาพเห็นเยาวชนเป็น"เหยื่อ"ในการหารายได้ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ เพลง หรือ สิ่งมอมเมาต่างๆ ล้วนมีการตลาดอยุ่ที่เยาวชนทั้งสิ้น หากจำได้ย้อนหลังไปเมื่อกฎหมายสถานบันเทิงกำหนดห้ามผู้ที่อายุต่ำกว่า 20 ปี ใช้บริการ แค่ชั่วข้ามคืน ผับ เทค ปิดตัวเองไปมากกว่าครึ่ง ผมจำได้ว่าตอนกฎหมายออกใหม่ๆ ตำรวจตรวจเข้มๆ แหล่งบันเทิงดังย่านพระรามเก้าแทบไม่มีคน ร้านแทบไม่เหลือ ..คำถามคือ เกิดอะไรกับสังคมไทย...เหตุใดสิ่งยั่วยุและมอมเมาจึงพุ่งเป้าไปที่เยาวชน...ถามว่ามันเป็นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร๋...ผมตอบได้เลยว่ามันเป็นมาตั้งชาตินึงแล้ว...เพราะวัยรุ่น เป็นวัยอยากลอง อยากโต อยากโชว์ อยากช่วย...อะไรใหม่ๆก็ต้องวัยรุ่นนี่แหละ...แต่อย่างที่เห็น คนยิ่งรุ่นเก่าเท่าไหร่ ยิ่งมีปริมาณในการถูกมอมเมาน้อยลง..เพราะเหตุใด?...เพราะสื่อไม่เจริญ การเข้าถึงยากกว่ายุคปัจจุบัน ที่มีทั้งมือถือ อินเตอร์เน็ต เคเบิ้ลทีวี ฯลฯ เป็นเหตุให้เยาวชนของเราเข้าถึงสิ่งยั่วยุมอมเมาได้มากกว่าที่เคย...แล้วเราสามารถแก้ปัญหาโดยการยับยั้งสื่อหรือ?...คำตอบของผมคือไม่!! ผมว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่สื่อ แต่อยู่ที่สำนึกของเด็กซึ่งถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กๆ...ผมขอยกตัวอย่างไกลๆหน่อย...เด็กตัวเล็กๆอายุ 3 - 4 ขวบ พ่อแม่จับแต่งสายเดี่ยวจนโต พอมีความคิดที่จะแต่งตัวเอง ถามว่าเด็กคนนี้จะใส่เสื้อผ้าแขนยาวขายาวเป็นไหม?...ลูกอยู่ ป.4 พ่อแม่ซื้อ iphone ให้ใช้ ผมถามว่า เด็กขึ้นมัธยมจะยอมกลับไปใช้ nokia เครื่องละ 2000 ไหม? ...นี่คือค่านิยม+สำนึกที่พ่อแม่ปลูกฝังใช่หรือไม่...ผมว่า...เด็ก เมื่อถึงมัธยมก็สายเสียแล้ว...
ทีนี้ในฐานะคนที่อยู่ในระบบการศึกษา...เป็นที่ทราบดีว่า พ่อ-แม่ มีความหวังกับโรงเรียนสูง ทุกคนคิดว่าเมื่อส่งลูกมาโรงเรียน ลูกจะมีความรู้ ประพฤติดี สามารถโตไปประกอบอาชีพเลี้ยงตัวเอง และพ่อ-แม่ได้...แต่พอมองมาที่โรงเรียน โรงเรียนหรือครูกลับบอกว่า เด็กจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูที่บ้าน...!?!...แล้วตกลงเป็นอย่างไรกันแน่...
ผมว่าเด็กยุคนี้มีปัญหามากเนื่องจากถูกเลี้ยงอย่างไข่ในหิน ที่เด็กไปทำในโรงหนัง ผมเชื่อเกิน 50% ว่า นั่นไม่ใช่ความตั้งใจแต่แรกของเด็ก อย่างดีก็คงคิดว่าไปดูหนัง จับมือถือแขน อาจมีจับๆคลำๆบ้าง แต่สถานการณ์มันพาไป...เด็กเกินเลยไปถึงขนาดนั้นได้เพราะเด็ก"ขาดภูมิคุ้มกัน"...เพราะอะไร...อย่างที่กล่าวไว้แล้ว สังคมไทยเลี้ยงเด็กอย่างไข่ในหิน...ในทุกที่ ไม่ว่าจะเป็น บ้าน หรือ โรงเรียน...ในส่วนของโรงเรียนผมก็เคยลงโพสต์ไปแล้วว่า เรากำลังจัดการศึกษาที่ฝืนธรรมชาติ คือ เราผลักให้เด็กเรียนจบมากกว่าจะควบคุมคุณภาพ เด็ก ม.3 อ่านไม่ออกเขียนภาษาไทยไม่เป็นตัว ได้ขึ้น ม.4 อีกต่างหาก สอบไม่มีตก สอบซ่อมไม่กำหนดจำนวนครั้ง...เป็นเหตุให้เด็กละเลยการศึกษา ไม่ทำการบ้าน ไม่อ่านหนังสือ เมื่อไม่ทำ ก็มีเวลาว่างมาก แล้วก็นำเวลาว่างไปใช้ในเรื่องเกี่ยวกับอบายมุข สิ่งยั่วยุ...พิจารณาจากโรงเรียนแต่ละแห่ง โรงเรียนไหนที่มีคุณภาพการศึกษาต่ำ เด็กจะมีปัญหามากกว่าโรงเรียนที่มีมาตรฐานการศึกษาที่สูง...โรงเรียนดังๆ ไม่เคยช่วยเด็ก ตกก็ตก ผ่านก็ผ่าน 49 ยังได้ 0 เพราะเขาตรวจข้อสอบด้วยคอมพิวเตอร์ เด็กก็ยอมรับได้ไม่เห็นมีปัญหา...ในประเทศที่เจริญแล้วอย่างอเมริกาหรือยุโรป เด็กนอกระบบไม่ใช่ปัญหาด้านการศึกษาของเขาเลย การเรียนของผู้ใหญ่หลังเลิกงานเป็นเรื่องปกติของเขา เช่น เยอรมัน หรือ สวีเดน
สวีเดนเป็นประเทศฟรีเซ็กส์ และฟรีทุกอย่างในความรู้สึกของผม..ผมมีเพื่อนเป็นวิศวกรอยู่ที่นั่น ภรรยาเป็นครูโรงเรียนอนุบาล...เชื่อหรือไม่ ภรรยาของเพื่อนผมต้องไปเรียนนอกเวลาอยู่ 5 ปี จึงจะได้งานครูอนุบาล...เพราะประเทศนี้หากคุณจบไม่ตรงสาขางานที่จะทำ เงินเดือนคุณจะไม่ขึ้น จริงๆแล้วคือเขาได้เงินเดือนแบบคนไม่ทำงาน คือได้เงินอุดหนุนจากรัฐบาลเท่านั้น ที่สำคัญคือเขาเรียนฟรี...เพื่อนผมทำงานอยู่สายการบิน เป็น chiefอะไรซักอย่าง...แต่เขาก็ต้องไปเรียนบริหารวุฒิ ป.ตรี เพราะเขาอยากมีโอกาสขึ้นเป็นผู้บริหาร ไม่งั้นก็เป้นวิศวกรไปจนแก่ เงินเดือนเกินผุ้บริหาร แต่ก็เป็นลูกน้องเขา ที่เขาไม่เรียน ป.โท เพราะค่าเรียนแพงมาก และ degree ก็ไม่ได้มีผลอะไรกับงานที่ทำ...เยอรมันยิ่งไปกันใหญ่ เด็กที่ไม่เรียนหนังสือ ตอนสุดท้ายสามารถไปสอบจบช่วงชั้นได้ แต่มีข้อแม้ว่า เมื่อไม่เข้าโรงเรียนต้องเลือกว่าจะเรียนแบบ non school หรือ ทำงาน...
แต่บ้านเรา กลับเห้นเด็กนอกระบบ นอกโรงเรียนเป็นปัญหาใหญ่โต...เด็กไม่เรียนคือเด็กไร้อนาคต...เด็กเลวๆๆๆๆๆ....เด็กเหลือขอ ฯลฯ แล้วก็ปิดโอกาสเด็กเหล่านี้โดยกฎหมาย คือ ห้ามจ้างงานเด็ก...ไม่จ้างแล้วเด็กจะทำอะไร?...หวังจะบีบให้เด็กอยู่ในระบบการศึกษาหรือ?...ได้ไหมล่ะ?...แล้วเด็กทำอะไร...อาชีพสุจริตทำไม่ได้ก็ลงใต้ดิน ค้ายา ส่งโพย ขายตัว...พอทำแล้วก็จะไม่มีโอกาสกลับสู่ชีวิตปกติได้อีก...
เรื่องเพศกับวัยรุ่น ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีปัญหาเรื่องการสอนเพศศึกษามากจากความรู้สึกของผม..."พูดไม่ได้"...นั่นคือคำจำกัดความของเพศศึกษาในไทย กลัวเหลือเกินว่าจะเป็นการชี้โพรงให้กระรอก กลัวว่าการสอนเพศศึกษาจะชี้นำให้เด็กเอาไปทำเป็นการบ้าน...ผมถามว่าไม่สอนแล้วเด็กไม่ทำหรือ? ผมว่ามันแย่กว่าผู้ใหญ่พูดเสียอีก..คนไทยลอบได้เสียกันมาตลอดตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่ใช่แค่ในยุตนี้ แต่ยุคนี้สื่อมันเยอะเราจึงเห็น..เด็กก็เห็น...กระทรวงสาธารณะสุขชี้แจ้งลงหนังสือพิมพ์แล้วว่า เด็กไทยอ่อนเพศศึกษามาก เด็ก ม.2 ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ทำอย่างไรจึงท้อง...การเผยแพร่ภาพการมีเซ้กส์ทำให้เด็กบางส่วน หาผลประโยชน์โดยอ้างว่าเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องพิสูจน์รัก...เด็กที่ไม่รู้จึงตกเป็นเหยื่อ...หากมีการสอนเพศศึกษาแบบตรงๆ ตนเด็กรู้ว่า พ่อ-แม่ทำอย่างไร ลูกจึงเกิดมาได้...สอนตั้งแต่วันแรกที่ลูกมีประจำเดือน แถมปลูกฝังไปด้วยว่ามีลูกแล้วต้องรับผิดชอบอย่างไร เมื่อไหร่จึงสมควรมีเพศสัมพันธ์ เพราะอะไร...ผมว่าเด็กจะมีภูมิคุ้มกันที่ดีตั้งแต่วันนั้น...
สิ่งหนึ่งที่เป็นจุดก่อปัญหาของวัยรุ่นคือ ความไม่แน่นอนของผู้ใหญ่ โดยเฉพาะสังคมในบ้าน...หากผุ้ใหญ่ในบ้านเลี้ยงลูกแบบตามอารมณ์ตนเอง จะพบว่า พ่อ-แม่จะหวังในตัวลูกไปซะทุกอย่าง ลูกแทบไม่มีโอกาสชอบแบบตัวเอง ทำอะไรก็ผืดไปซะหมด...ลองใหม่...ลองคุยกับลูกให้เป็นกิจลักษณะว่า..."ลูก...มี 4 อย่างที่ลูกเป็นแล้วพ่อ-แม่หัวใจสลาย คือ เสพยา เป็นสก๊อย เป็นโจร และรักคนอื่นมากกว่าพ่อ-แม่ นอกนั้นพอทนได้" แล้วคุณก็ทนให้ได้ ลองดูซิว่า ลูกจะเป็นอย่างไร แต่คาถานี้ไม่ใช่คาถาแก้ แต่เป็นคาถากัน คุณต้องพูดตั้งแต่ลูกยังไม่มีพฤติกรรม ...อีกอย่างหนึ่งคือ ก่อนจะดุลูก พิจารณาให้ดีว่าลูกคุณ ยังเป็นเด็กหรือโตแล้วกันแน่ เลือกเอาซักอย่าง ไม่ใช่ตื่นสายก็ด่าว่าเป็นเด็กเป็นเล็กหัดตื่นสาย พอลูกนั่งเฉยๆก็บ่นว่าโตแล้วไม่รู้จักช่วยงาน พอลูกจะดูทีวีตอนดึกก็บอกว่าเป็นเด็กนอนดึกไม่ได้...ลูกสับสนนะครับ
ปัญหาเยาวชนล้วนแล้วแต่เกิดจากผู้ใหญ่...ซึ่งขาดวิสัยทัศน์ ขาดจิตสำนึก อคติ ยึดติดทิฐิ มีผลประโยชน์จากเด็ก ไม่สานต่อชอบก่อของใหม่ๆแบบมั่วๆ มองปัญหาจุดเดียว แก้ปัญหาไม่เป็น คิดวิธีการได้แต่แบบไม่ยั่งยืน เลือกทำงานแบบเสร็จเร็ว ถ่ายรูปได้ มีป้ายสวย ที่สำคัญ...ขาดความกล้าหาญในการแก้ไขปัญหา
ภาพคลิปในโรงหนังของเด็ก เป็นความผิดของเด็กผุ้ชายที่ทำมิดีมิร้ายกับเด็กผู้หญิง เป็นความผิดของเด็กผู้หญิงที่ไม่ปกป้องศักดิ์ศรีของตนเอง หรือ เป็นความผิดของโรงหนังที่ติดกล้องวงจรปิด เป็นความผิดของพนักงานที่เผยแพร่คลิปนี้ เป็นความผิดของโรงเรียนที่ปล่อยเด็กเร็วเกินไป เป็นความผิดของคนขายตั๋วที่ขายตั๋วให้เด็กที่มากันสองคน เป็นความผิดของครูที่ไม่สั่งสอนว่าห้ามมีอะไรกันในโรงหนัง เป็นความผิดของพ่อ-แม่ที่ไม่สร้างจิตสำนึกให้เป็นภูมิคุ้มกันแก่เด็ก เป้นความผิดของรัฐที่ให้การศึกษาแบบจบง่ายๆไม่ต้องรับผิดชอบให้กับเด็ก เป็นความผิดของทุกคนที่ดูคลิป!!...ความผิดของใครครับ???
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น