เคยโพสต์บล๊อกไว้ว่าจะมีภูเก็ตภาค 2 ต่อ แต่ไม่รู้จะเขียนอะไร จริงๆอยากเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการไป"เที่ยว" แต่ก็เห็นว่าหลายคนๆ ก็ได้ไปทริปอื่นๆกัน เล่าไปคงเบื่อ แถมคนไม่ได้ไปจะเคืองว่ามาเล่าให้อิจฉาตาร้อนอีก ดังนั้นเอาเป็นว่า ผมเล่าเรื่องการไปดูโรงเรียนสังกัด อบจ. ของภูเก้ตก็แล้วกัน
โรงเรียนสังกัด อบจ.ภูเก็ตที่เราไปดูงาน มี 2 โรงเรียน คือ โรงเรียนบ้านบางเหนียว และโรงเรียนปลูกปัญญา ก่อนอื่นผมขออนุญาตกล่าวขออภัยก่อน หากข้อความใดผิดพลาดจากความเป็นจริง เพราะการไปดูงานคราวนี้อาศัยการ ฟัง และ จำ ล้วนๆ จะมีก็เพียงภาพถ่ายที่บันทึกมา
โรงเรียนสังกัด อบจ. ก็เหมือนกับโรงเรียนสังกัด กทม. ของเรานั่นเอง คือ เป็นโรงเรียนของการปกครองส่วนท้องถิ่นเหมือนกัน มีเจ้านายเป็นข้าราชการสายปกครองหรือข้าราชการสามัญเหมือนเราทุกประการ ดังนั้น เขาก็น่าจะเหมือนเรา ไม่น่าจะแตกต่าง แต่ ไม่เป็นเช่นนั้นครับ พอไปดูไปฟังบรรยายแล้ว ถ้าไม่ใช่ปลูกผักชีนะ ผมว่าโรงเรียน อบจ. นี่น่าสนใจหลายเรื่อง ผมจะพูดถึงเรื่องที่ผมคิดว่าเด็ดๆ และมีความเหมือนกันของทั้งสองโรงเรียนที่ไปดูก็แล้วกัน
ทั้งสองโรงเรียนที่ไปดูงาน เขามีการเตรียมการใหญ่โตเหมือนจะมีผู้ใหญ่มาตรวจราชการอย่างไรอย่างนั้น โรงเรียนเทศบาลบ้านบางเหนียวเตรียมวงดนตรี นักเรียนตั้งแถวรับจนผมรู้สึกแปลกใจเลย พอเข้าห้องประชุม ทั้งสองโรงเรียนมีผู้เกี่ยวข้องมาต้อนรับจนแน่นห้องประชุมไปหมด นายก อบจ. ศึกษาฯ ผู้บริหาร สมาคมผู้ปกครอง ศิษย์เก่า เครือข่าย เรียกว่ามากันครบเลย จนการบรรยายภาพรวมโรงเรียนกลายเป็นภาพละเอียดไปเลย
ในส่วนของการบรรยาย เท่าที่ฟังนโยบายก็คล้ายๆกัน คล้ายเรา คือ มีนโยบาบ วิสัยทัศน์ ซึ่งแน่นอน ย่อมแตกต่างกัน แต่เรื่องที่ผมต้องมาหยุดสนใจฟังคือ ทั้งสองโรงเรียน ผู้บริหารชอบออกตัวว่า เป็นโรงเรียนภูธร อะไรก็สู้ กทม. ไม่ได้ งบจังหวัดก็จำกัด ไม่มากมายเหมือน กทม..... แต่ที่ผมเห็นตัวเลขงบประมาณของโรงเรียนบนสไลด์นี่...ไม่น่าจะภูธรเลย ได้ยินคนลือกันมานานแล้วว่า โรงเรียน อบจ. งบเลยอะ แต่ผมไม่คิดว่ามันจะเยอะถึงขนาดตัวเลขงบ 9 หลัก ในระยะ 4-5 ปี (ผมเข้าใจว่า เขาคงพยายามจะสื่อว่า อบจ.ชุดนี้ให้เงินโรงเรียนมาเท่าไหร่แล้ว) ของจตุจักรเรา ศึกษาเขตบอกว่าบางปีงบอยู่ที่ 5 - 6 ล้าน แบ่งใช้ 7 โรงเรียน นี่อาจเป็นเพราะ"การเมือง" ฟังแล้วแอบอิจฉา แต่เราก็ไม่รู้ว่า งบที่ต่างกัน จะมีโครงสร้างการใช้งบที่ต่างกันหรือไม่ คือเขาได้เป็นสิบล้าน ร้อยล้าน แต่อาจต้องจัดสรรเงินเดือนครูเองหรือเปล่า...
เรื่องที่สองที่แอบอิจฉาคือพื้นที่ของโรงเรียน ทั้งสองโรงเรียนมีพื้นที่กว้างขวางหลายสิยไร่ มีห้องเรียนมากมาย สนามกว้าง มีโรงอาหารที่เป็นโรงอาหาร ซึ่งช่างแตกต่างจากโรงเรียน กทม.จริงๆ ที่จะมีเหมือน กทม. ก็คือ มีตั้งแต่อนุบาลจนถึงมัธยมนี่แหละครับ ที่น่าสนใจคือ เขาให้ความสำคัญกับห้องพิเศษ เช่น ห้องวิทย์ ห้องโสต ห้องคอม มาก ถึงกับมีการจัดงานหางบมาสร้างห้องพิเศษพวกนี้ ผอ.โรงเรียนปลูกปัญญาชวนผมไปดูห้องถ่ายทอดทีวีของโรงเรียน เห็นแล้วก็อึ้งๆ เพราะโรงเรียนดูภูมิใจมากเพราะกว่าจะได้ห้องและระบบนี้มา มันใช้งบเยอะมาก มีนักเรียนชมรมจัดรายการออกอากาศ แม้ขณที่เราไปดูงาน นักเรียนก็เชิญคณะดูงานไปสัมภาษณ์ออกรายการ ...แต่ของเราสิ...
เรื่องข้างบนอาจจะดูทำยากไปนิด เรามาดูเรื่องเบาๆกันบ้าง โรงเรียนเทศบาลบ้านบางเหนียว ใช้นักเรียนในการต้อนรับคณะดูงานจำนวนมาก ทั้งแจกของว่าง แจกเอกสาร การแสดง ผมสังเกตุเห็นว่า นักเรียนบางคนมีเข็มอันใหญ่ๆ ติดอยู่ที่เสื้อ แต่ไม่ได้มีทุกคน ถ่ายรูปมาดูก็เห็นว่า เข็มมีข้อความว่า "คนดีศรีบาเหนียว" ... เหมือนคนดีศรี มปน. เลยครับ นักเรียนเล่าให้ฟังว่า มาจาการคัดสรรโดยครูเลือกมาตรงๆเลย ไม่ได้ส่งชื่ออะไรทั้งนั้น แล้วก็มีคนได้เยอะ ในห้องเรียนของนักเรียนคนที่ผมคุยด้วย มีคนได้เข็มนี้ประมาณครึ่งห้อง บางคนได้มาตั้งแต่ประถม บางคนเพิ่งได้ นักเรียนตอบได้อย่างฉะฉานเหมือนซ้อมมาว่า คนดีของเขาคือ เรียนดี มีคุณธรรม และมีจิตอาสา(ประมาณนี้ครับ)
ออกมาข้างนอก เดินไปดูสภาพรอบโรงเรียน ดูโรงเรียนปลูกปัญญาจะดูดีกว่า ดูเหมือนพื้นที่ฝั่งหน้าโรงเรียนหลายๆส่วน ได้รับการปรับปรุงเมื่อไม่นานมานี้ ผมชอบใจอยู่ 3 จุด คือ
1. สนาม โรงเรียนปลูกปัญญามีนักกีฬาทีมโรงเรียนฝึกซ้อม เช่น วอลเล่ย์ และบาสฯ เขามีการรองเบาะที่สนาม ป้องกันการบาดเจ็บ ที่สำคัญนักเรียนของเขาไม่ใช้เตะฟุตบอล คนเตะบอลจะไปใช้อีกสนามหนึง
2. ตู้โทรศัพท์ ผมไม่รู้จะบรรยายอย่างไร ดูภาพก็แล้วกันครับ
3. ห้องสมาคมผู้ปกครอง เป็นการสร้างขึ้นใหม่ใต้อาคารที่เคยเป็นโถงโล่ง มีคนของสมาคมอยู่ในห้องเสมอ (โดยมากเป็นผู้ที่อายุเกิน 60 แล้ว จะมานั่งคอยช่วยเหลือโรงเรียนอยู่ที่นี่ ดีกว่าไปนั่งที่อื่น...ฟังแล้วซึ้งจัง)
ตอนออกจากโรงเรียนเทศบาลหลบ้านบางเหนียว ผมเดินไปข้างโรงเรียนไปซื้อน้ำดื่ม พอเดินไปถึงข้างโรงเรียน ก็พบภาพแปลกตา แต่ไม่แปลกใจอยู่ 1 ภาพ และภาพแปลกตาและแปลกใจอีก 1 ภาพ ผมต้องย้อนไปเอากล้องที่รถมาถ่ายภาพนี้ นั่นก็คือ ภาพอาคารของโรงเรียนที่อยุ่ติดถนนซอยโดยไม่มีรั้วกั้น แปลกตรงที่สร้างได้อย่างไร มันผิดระเบียบโยธาฯหรือเปล่า แต่ภาพที่ซ้อนกันอยู่อีกภาพคือ ที่จอดจักรยานยนต์ครับ...ผมสอบถามร้านขายน้ำว่ารถพวกนี้ของใคร ทำไมมาจอดแบบนี้ ผมได้คำตอบตามคาดครับ จักรยานยนต์ของนักเรียนและพนักงานของโรงเรียนแต่ไม่ใช่ของครู ครูจะจอดข้างใน...
ผมแกล้งถามต่อว่า ทำไมเด็กต้องขี่มอเตอร์ไซด์มาโรงเรียนด้วนนะ ผมโดนเจ้าของร้างตอกเลยว่า ภูเก็ตมันไม่ได้เดินทางสะดวกเหมือนกรุงเทพนะคุณ เด็กที่ขี่มอเตอร์ไซด์มามักเป็นเด็กที่บ้านอยู่นอกเส้นทางรถประจำทาง...สรุปคือขี่มาเพราะจำเป็น...ความจริงผมก็แกล้งถามไปอย่างนั้นแหละครับ ประชดตัวเอง...เพราะโรงเรียน กทม.ของเราอยู่กันกลางชุมชน รถประจำทางก็มากมาย ส่วนมากบ้านเด็กก็อยู่รอบๆโรงเรียน เพราะเรามีโรงเรียนบริการในพื้นที่เยอะ เดิน 5 นาทีก็ถึงโรงเรียนแล้ว่ แต่นักเรียนก็ขี่มอเตอร์ไซด์มาโรงเรียน บางคนบ้านอยู่คอนโดฯ ยังขี่มาเลย ไม่รู้ว่าจำเป็นอะไรนักหนา โรงเรียนก็อนุญาต แถมให้มาจอดข้างในได้...จอดกันเป็นสิบๆคัน แล้วก็ขโมยอะไหล่กัน ทำล้มกัน ขี่เล่น แว้นกันในโรงเรียน ผมว่ามันดูอันตราย เพราะเด็กขี่รถกันด้วยความคนองตามวัย เป็นแฟชั่นมากกว่าความจำเป็น...โรงเรียนยอมให้จอดในโรงเรียนก็เพราะสงสารกลัวว่าจะหาย...มันกลายเป็นการส่งเสริมหรือเปล่า...ตอนที่ผมไปอบรมทำหลักสูตรที่อุบล ผ่านไปดูงานโรงเรียนตั้งหลายโรงเรียน ผมก็เห็นว่าเด็กจอดจักรยานยนต์นอกโรงเรียนทั้งนั้น เพราะต่างจังหวัดรถโดยสารมันลำบาก บางโรงเรียนข้างโรงเรียนมีจักรยานยนต์นักเรียนจอดเรียงกันเป็นร้อยๆ โรงเรียนสังกัด สพฐ. ในเขตกรุงเทพฯ เขาห้ามนักเรียนนำรถยนต์รถจักรยายนต์มาโรงเรียนกันทั้งนั้น อย่าว่าแต่ขี่เข้ามาในโรงเรียนเลย เอาไปแอบจอดตลาดนัดหน้าโรงเรียน ครูเห็นยังโดนเรียกผู้ปกครองเลย...เขาไม่ส่งเสริม เขาห้าม เพราะเขาเป็นห่วงเรื่องอุบัติเหตุ มากกว่าห่วงเรื่องสิทธิส่วนบุคคล!!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น