วันสองวันนี้ที่ทำงานเกิดปัญหาเรื่องใช้อินเทอร์เน็ตกันไม่ได้ แต่จะว่าไปไม่ใช่แค่อินเทอร์เท่านั้น ระบบเครือข่ายใช้ไม่ได้เลยด้วยซ้ำไป คนที่ใช้คอมฯบอกว่า พอเปิดเครื่องมาก็ใช้ไม่ได้ รูปคอมข้างล่างเป็นเครื่องหมายตกใจสีเหลือง
ตอนแรกก็คิดว่าคงมีปัญหาที่เครื่องลูก แต่เอ๊ะ สักพักมีคนบ่นมากขึ้น เลยรู้สึกชักยังไงๆ เพราะตอนแรกคนกลุ่มแรกที่บ่นคือคนที่ใช้ wifi แต่นี่มาบ่นเครื่อง desktop ก็เลยเข้าเค้าว่าน่าจะมีปัญหาจากระบบ ก็ไปตรวจดูที่เครื่องลูกพบว่า network icon แสดงสถานะเป็น caution จริงๆ นั่นแปลว่ามีการเสียบสาย LAN ผ่าน switch คือสายไม่มีปัญหา แต่อาจมีปัญหาเรื่อง configuration ครับ
อย่างแรกที่ทำคือตรวจดูว่า network เชื่อมต่อกันหรือไม่ โดยใช้วิธีง่ายคือคำสั่ง ping ไปที่ router ปรากฎว่าไม่ไป อ้าว...งานเข้า อย่าพึ่งท้อแท้ครับ ลอง ping ตัวเอง (127.0.0.1) ว่าการ์ด LAN ไม่เสีย ปรากฎว่าได้ คราวนี้เลยเข้าไปดู IP ของเครื่องละครับ เพราะถ้าเครื่องไม่สามารถรับ IP จาก router ได้ ก็ไม่เเปลกที่จะใช้อินเทอร์เน็ตไม่ได้ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น IP น่าจะขึ้นด้วย 169.x.x.x
แท๊นๆๆ....ปรากฎว่าไม่ใช่ครับ มันขึ้นต้อนด้วย 192.x.x.x เอาละสิ...IP ที่ office ใช้เป็น IP ที่ขึ้นด้วย 10.x.x.x แล้วมันไปเอา 192 มาจากไหนนนนน..... หรือ router มัน hard reset...ตรวจดูก็ไม่ใช่ครับ
หาอยู่หลายวันพบว่า มีคนนำอุปกรณ์จำพวก Router all in one มาเสียบใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต....มันก็เลยปล่อย IP 192.x.x.x ออกมา เป็นที่มาของปัญหานี้
แล้ว IP ที่ว่านี้คืออะไร เป็นคำถามที่ผมต้องอธิบายผู้บริหารให้ทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้นเลยอธิบายแบบชาวบ้านว่า IP ก็เหมือนเลขที่บ้านของคอมพิวเตอร์ครับ ระบบจะส่งข้อมูลถูกเครื่องก็โดยอาศัยเลข IP นี้ ซึ่งเป็นเลข IP ที่ router เป็นคนจัดสรรให้ แต่ดันมีคนนำเอาอุปกรณ์บางอย่างซึ่งสามารถจัดสรรเลข IP ได้มาใช้ในวง LAN ทำให้เครื่องบางเครื่องสับสนรับ IP ผิดตัว ซึ่งเป็น IP ที่ router ไม่รู้จัก
????.... นั่นคือสิ่งที่ผุ้บริหารบอกผมทางหน้าตาครับ...งง
เอาใหม่ครับ IP คือเลขประจำเครื่องที่มาจาก 2 ลักษณะ คือ static IP และ FIX IP
static IP คือ IP ที่ไม่อยู่กับเครื่องเราตลอดไปครับ ระบบจะจัดสรรหมุนเวียนเปลี่ยนกันใช้ไปเรื่อยๆ ซึ่งคอมพิวเตอร์ของเราจะร้องหา (require) จากระบบทุกครั้งที่เราเปิดเครื่อง ถ้าไม่มีใครจ่ายคอมของเราก็จะสร้างเลขสุ่มขึ้นเองในหมวดที่ขึ้นต้นด้วย 169.x.x.x
FIX IP คือ IP ที่อยู่กับเครื่องนี้ตลอดไม่เปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะปิดเปิดเครื่องกี่ครั้ง ซึ่งก็แล้วแต่เราจะตั้ง แต่ช้าก่อน....
เลข IP ที่ว่านี่ ไม่ใช่ว่าจะตั้งอะไรก็ได้นะครับ เพราะมีหน่วยงานควบคุมเหมือนเลขที่บ้านหรือเลขทะเบียนรถครับ แต่เป็นระดับระหว่างชาติ หรือ International ครับ และเลข IP นี้ก็มีหลายหมวด แต่ละหมวดก็ใช้งานต่างกันไป ตั้งแต่ ISP ใช้ จนถึงชาวบ้านตาดำๆอย่างเราๆ
โดยปกติผุ้ให้บริหารอินเทอร์เน็ตก็จะจ่ายเลข IP มาให้เรา 1 ชุด ซึ่งส่วนมากมักเป็นไม่ถาวร หรือ Static IP นั่นเอง แต่หน่วยงานใหญ่ๆอาจจะมีความจำเป็นจะต้องใช้ FIX IP ก็สามารถขอใช้ได้จากผุ้ให้บริการอินเทอร์เน็ต และแน่นอนต้องจ่ายเงินเพิ่มครับ
เลข IP ที่ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต หรือ ISP จ่ายมาให้จะอยู่ที่ Router กล่องเหลี่ยมๆที่ช่างเอามาติดตั้งให้เรา แต่เครื่องในบ้านหรือในสำนักงานจะไม่ได้เลข IP จาก ISP นะครับ เพราะเขาให้ชุดเดียว....แล้วทีนี้จะทำยังไง???...ไม่ต้องสงสัยครับ (และไม่เคยมีใครสงสัย) ... Router ที่ช่างเอามาติดตั้งให้จะมีความสามารถในการจ่ายเลข IP ให้กับอุปกรณ์ในบ้านของเราโดยเป็นเลขอีกหมวดหนึ่งซึ่งสงวนไว้ใช้ในระบบ LAN (Local area network) ซึ่งเลขสำหรับ LAN นี้มักใช้อยู่ 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่ขึ้นต้นด้วย 192 และกลุ่มที่ขึ้นด้วย 10
Router ที่ติดตั้งตามบ้านมักมีความสามารถไม่สูงนัก รองรับอุปกรณ์ได้ไม่กี่ชิ้น มักกำหนดเลข IP ในหมวด 192.168.1.x ให้กับอุปกรณ์ในบ้าน ความสามารถในการจัดสรรเลข IP นี้เรียกว่ากันติดปากว่า DHCP server
IP ในหมวด 192 นี้จะมี Subnet mark อยู่แค่ class C คือ รองรับอุปกรณ์ได้แค่ 255 อุปกรณ์ตามทฤษฎี ซึ่งตามบ้านทั่วไปคงใช้ไม่หมด แต่หน่วยงานขนาดใหญ่จะใช้หมวด 10 เนื่องจากมี Subnet class เป็น class C (คิดแบบชาวบ้านนะครับ)......งงละสิ...
เอาแบบชาวบ้านรู้นะครับ...สังเกตุดูเลข IP 1 เลข จะมีจุดขั้นแบ่งเลขเป็น 4 ชุด....นั่นละครับ class ที่ว่า ชุดหลังสุดคือ class C ชุดรองสุดท้ายคือ class B ชุดที่ 2 คือ class A นอกจากเลข IP แล้วยังมีส่วนประกอบที่เรียกว่า Subnet mark ด้วย ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับเลข IP เลย แต่มักใส่เลขกันอยู่แค่ 2 ค่า คือ 255 กับ 0 (ใส่อย่างอื่นก็มีนะครับ เซียนเขาใช้กัน) เช่น 255.0.0.0 เป็นต้น ซึ่ง Subnet mark นี้ก็เปรียบได้กับการแบ่งชั้นวรรณะ ใครเลข 0 มากกว่าคนนั้นวรรณะสูงกว่า ประมาณนั้นนะ
ว่ากันแบบบ้านๆ คือ ถ้า subnet mark เป็น 255.255.255.0 แล้ว IP ที่จะใช้งานได้ในบ้านนี้คือ 3 ชุดหน้าต้องเหมือนกันเท่านั้น เช่น 10.1.1.1 ถึง 10.1.1.255 เป็นต้น แต่หาก subnet mark เป็น 255.0.0.0 นั่นหมายถึงเลข IP ต้องเหมือนกันเฉพาะชุดแรกเท่านั้น เช่น 10.1.1.255 ถึง 10.255.255.255 เป็นต้น ซึ่งจะเห็นว่า class A จะมีเลข IP ให้ใช้อย่างมากมายมหาศาล
แต่อย่างไรก็ดี IP ที่สงวนไว้ใช้สำหรับ LAN นั้นจะมี 2 หมวด คือ 192.168.x.x กับ 10.x.x.x ซึ่ง 2 ชุดนี้จะมองไม่เห็นกัน ดังนั้น ท่านผุ้อ่านคงเข้าใจแล้วว่า เวลาขโมยเครื่องจาก office กลับไปที่บ้านแล้วทำไมถึงเล่นอินเทอร์เน็ตไม่ได้ ก็เพราะหน่วยงานใหญ่มักใช้เลข IP หมวด 10 และมักใช้ระบบ FIX IP เพื่อการติดตามข้อมูลว่าใครโพสต์ด่าเจ้านายบ้าง 555+... ถ้าจะทำให้ใช้งานที่บ้านได้ก็ต้องตั้งค่า network หรือ ค่า IP ใหม่ให้ตรงกับ Router ที่บ้าน (ถ้าเขาไม่ล็อคไว้นะ)....อยู่ที่ทำงานใครชอบโพสต์ด่าเจ้านายก็ระวังนะครับบบบบบ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน...อิอิ..อิ..อิ
ปล. บทความข้างต้นเป็นเรื่องของ IP ชนิด IPV4 ซึ่งขณะนี้มี IPV6 ออกมาใช้เพื่อแก้ปัญหา IP เต็ม
ปล.2 บทความนี้พยายามอธิบายคนที่มีความรู้เรื่อง IP เป็นศูนย์ จึงพยายามละส่วนที่เป็นด้าน Technic ออกไป บางอย่างอาจไม่ถูกต้องนัก แต่ก็เพื่อความเข้าใจแบบเรียบง่าย หากจะนำไปใช้งานควรศึกษาเพิ่มเติมครับ
Bye...
Salapaou
.
วันพฤหัสบดีที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2559
วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2559
ไป(เที่ยว)เชียงใหม่แบบ STBY
กว่าจะมาโพสต์ ผ่านไปเดือนนึงละ เนื่องจากงานเยอะมากกกกก....(กรุณาทำเสียงยาวๆนะครับ) ที่มาที่ไปคือ อยากเผยแพร่ข้อมูล(ชะตากรรม)การเดินทางของพนักงานสายการบิน(ไทย)รวมถึงครอบครัวพนักงาน(อย่างผม) ที่หลายๆท่านชอบบอกว่าบุคคลเหล่านี้เนี่ย...เส้นใหญ่...ลองตามมาดูครับ ใหญ่ไม่ใหญ่ตามมาดูครับ
ต้นเหตุคือคุณพ่อและผมมีแผนจะ(ต้อง)เดินทางไปเชียงใหม่เพื่อไปเตรียมบ้านพักที่สวนไว้เพื่อเป็นที่รวมญาติประจำปี คือ ทุกคนในครอบครัวของคุณปู่กับคุณย่าจะใช้เวลาในช่วงวันหยุดยาวปีใหม่ไปรวมตัวกันที่บ้านสวน ถือโอกาสเที่ยวกันไปในตัวว่าอย่างนั้น และที่ผมต้องไปเพราะคุณพ่อต้องไป...ไปทำไม?...ทำไมต้องไปเตรียม?.....คำตอบคือ ชื่อก็บอกอยู่แล้ว บ้านสวน พอไม่มีคนดูแลสวนก็กลายเป็นป่าสิครับ วัชพืชสูงท่วมหัวเพราะได้รับน้ำฝนชุ่มฉ่ำตลอดฤดูฝน อยากบอกว่าสารพัดวัชพืชครับ....ไม่รู้กี่วันจะเสร็จ .... "*_* .....คำถามคือจะไปกันเมื่อไหร่...คุณพ่อบอกว่าแล้วแต่แกจะว่าง นั่นนนนน.....สุดท้ายคุณพ่อไปก่อนครับ ไม่รอ ผมตามไปทีหลังเนื่องจากติดงานอลังการอยู่
ถามว่าตั๋วทำอย่างไร?...คำตอบคือก็ไปขึ้นตั๋วพนักงานตามปกติครับ แต่ด้วยเหตุข้างบนคือไม่รู้จะไปได้เมื่อไหร่ เขียนเอกสารขอออกตั๋วแล้วก็ยังคิดไม่ออก หาวันไปชัวร์ไม่ได้จนถึงคิวก็ยังคิดไม่ออก พี่พนักงานที่ออกตั๋วถามว่า ตั๋ว confirm ใช่ไหม?...ผมก็อึ้งครับ เพราะปกติตั๋วแบบนี้คำถามที่พี่เขาจะถามตามมาคือ ไปเที่ยวบินไหน? วันไหน?.....แง่กๆๆๆ (เสียงอะไรสักอย่างติดอยู่) มัวแต่งงครับ รู้ตัวอีกทีคุณพ่อเดินมาใกล้ๆ พูดไม่ลังเล standby ครับ....อ๊ะจ๊ากกกก นั่นไง!!! พ่อชอบจังงงง ตั๋ว standby เนี่ย
ปรากฎว่าวันที่ผมสามารถไปได้คือวันที่ 11 พ.ย. หลังเลิกงาน ผมพร้อมเดินทางเลย... ใช่แล้วครับสัปดาห์นี้เป็นวันลอยกระทง 555+ ...ไม่ได้รู้อะไรบ้างเลยยยยย.....ก่อนเลิกงานผมก็โกงเวลาทำงานเปิดดูสภาพเที่ยวบินวันศุกร์ซะหน่อย แบบขำๆ เพราะรู้อยู่แล้วว่าเป็นวันเดินทางที่เที่ยวบินมักเต็ม แต่ที่ตกใจมากคือวันเสาร์ก็ไม่มี วันอาทิตย์ก็ไม่มี...เฮ้ยๆๆๆ...เดี๋ยวๆๆๆ....ยังไงกันละทีนี้ รีบโทรไปบอกคุณป๊ะป๋าสิครับ ว่าอย่าคิดมากน้าาาา ถ้าไปไม่ได้อ่ะ....พ่อตอบกลับมาว่า ได้สิ!!..นั่น ช่างมั่นใจ
ผมตัดสินใจเดินทางวันเสาร์ กะว่าไหนๆก็ไหนๆ ไป list TG104 ละกัน .... อิอิ....มีแอบแฝง คืออยากลองของใหม่ A350 ....ไปถึงเคาเตอร์เช็คอิน ไปเลียบๆเคียงๆ พนักงานเห็นเอกสารเราก็บอกให้ไป list ก่อนนะคะ...ก็ไป list เที่ยวบินที่ห้องตั๋วครับ พนักงานถามจะ list เที่ยวไหน ผมเห็นผู้โดยสาร(ทั่วไป)เข้าแถวเช็คอินแล้วก็..นะ... "102 ครับ" ตอบไปแบบนั้น เพราะคนเยอะมากๆๆๆๆ TG 102 เป็นเที่ยวเช้าสุด และใช้ 747 บิน น่าจะมีโอกาสที่ว่างมากกว่า....แอบเสียใจอดนั่ง A350 แน่แล้ว เอานะหน้าที่ลูกสำคัญกว่า เดี๋ยวไม่ได้ไป คุณพ่อจะต้องตัดหญ้าคนเดียว
list ได้ก็กลับมาที่เคาเตอร์ครับ ..."102 102 อืมๆๆๆ" พนักงานพึมพัม "ค่ะ saet at gate นะคะ" นั่นไง ว่าแล้วทำหน้านิ่งๆแบบนี้
นี่เลยครับ TG102 SEAT SBY 555+ ลุ้นกันหน้าประตูเครื่องบินเลยครับ ที่รอยปากกาเขียน ENTC นั่น ผมก็ไม่ทราบความหมายเท่าไหร่ แต่จริงๆแล้วสิทธิ์ตั๋วของผมเป็นประเภท R1 คือสามารถจองได้ครับ คือตรงที่ผมไปทำเรื่องออกตั๋วน่ะครับ และด้วยบารมีคุณพ่อที่ทำงานมานาน ตำแหน่งก็สูง เช็คตั๋วทีไรพี่ๆน้องๆที่เช็คตั๋วให้จะเข้าใจว่าพ่อเป็นกัปตัน... แต่นี่คือฤทธิ์ของตั๋ว standby ละครับ
เข้าไปได้เอาตั๋วไปยื่นที่ Gate พนักงานที่รับยื่นมือมารับและบอกว่า "มาอีกแล้วววว"....นั่น สังหรณ์ใจพิกล....แล้วก็จริงๆครับ ผู้โดยสารปกติขึ้นเครื่องไปหมดเหลือชาวตั๋ว ID ละครับ เรียงลำดับอาวุโสเรียบร้อยปรากฎว่า...ไม่ได้ไป....เวรกรรม เห็นตั๋วในมือคนที่จะมาแจกคืน จะเป็นลม ร่วม 20 ใบเห็นจะได้ แอบทราบว่าเที่ยวบินนี้ได้ไปแค่ 4 คน จัดลงกันเต็มที่ถึงกับให้นักบินที่ standby ตั๋วไว้ให้ไปนั่ง cockpit ด้วยเลย แต่ปรากฎว่านักบินมีครอบครัวรอไปด้วยเลยสละสิทธิ์ แต่ก็ไม่มีใครได้ไปครับ ด้วยเหตุผลความปลอดภัย
ไม่ได้ไปแล้วจะรออะไรรีบออกสิครับ ไป list เที่ยวใหม่ต่อไป...104 104 104 .....ปรากฎว่าไม่ทันครับ ดูแววแล้วน่าจะพลาดแล้ววันนี้ เพราะถัดจาก TG104 ก็มีเที่ยวต่อไปบ่ายเลย ทำไงดีละทีนี้...ไม่รู้จะทำยังไงก็ไปยืนมึนๆอยู่แถวเคาเตอร์เช็คอินครับ คิดในใจว่าบ่ายก็บ่าย เที่ยวไหนได้ไปขอให้ได้ไปสักเที่ยว ..และแล้ว...ปาฎิหารย์มีจริงครับ เที่ยวบินเสริม...555+ ยังกะรถทัวร์
นี่เลยครับ เที่ยวบินเสริม เลขเที่ยวบิน 4 หลัก 555+ แต่ก็ยังเป็น SBY เหมือนเดิมเลย ลุ้นหน้า Gate เหมือนเดิมเปี๊ยบ....โปรดสังเกตุ ขึ้นเครื่องประตูไหนไม่บอกซะด้วย ถามเจ้าหน้าที่ได้ความว่า ก่อนเครื่องออกประมาณ 1 ชม. จะทราบเอง 555+
เวลาผ่านไปครับ ไปดูที่จอก็พบว่าเครื่องจอดที่ gate A6 ครับ หูยส์....สุดนู้นนนนนน เวลาเหลือมากมาย เดินเล่นในสนามบินที่ปกติต้อง วิ่งๆๆๆๆ ดีเหมือนกันจะได้เห็นอะไรซะบ้าง แต่ทางมันช่างไกลเหลือเกินนน
ถึงแล้วครับ Gate A6 สุด Concourse พอดี มองเห็นรันเวย์ มีป้าอ้วน A330 ท่านอู่ทองจอดรออยู่ที่ Gate เห็นผู้โดยสารรอแล้วเพลียหัวใจเลยครับ ไม่มีที่จะนั่งรอเลย ดูด้วยสายตาไม่เต็มก็เกินละครับ
เอา boarding pass ไปยื่นที่ gate แล้วก็มารอดูเครื่องบิน Take off แต่พลาดนิดนึงช่วงนี้เครื่องขึ้นอีกทางครับ RWY01 เห็นแต่ตอนที่เครื่องลอยพ้นพื้นแล้ว...เฮ้อ...วันนี้วันอะไรหนอ
ในที่สุดก็ได้ไปครับ 57E คือเลขที่นั่ง *_* อีก 3 แถวเท่านั้นที่อยุ่ข้างหลังผม สุดยอดเเห่งความอบอุ่น แน่นทุกเก้าอี้ตามภาพ จะถ่ายอะไรก็เกรงใจท่านข้างๆ นั่งนิ่งๆละกันครับ สุดท้ายก็ถึงเชียงใหม่โดยสวัสดิภาพแบบลุ้นเหงื่อแตก นี่ละครับ พนักงาน+ครอบครัวพนักงาน เราไปกันแบบไม่คิดอะไรมาก ขอให้ได้ไปเถอะ ถึงสิทธิ์ตั๋วผมจะเป็น R1 นั่งได้ถึง business class แต่ก็นะ ติดมาจากคุณพ่อครับไม่คิดมาก ค่าตั๋ว confirm กับ standby ก็ไม่ได้ต่างกันมากโดยเฉพาะในประเทศแบบนี้...เอ๊ะ หรือคุณพ่อชอบความตื่นเต้น ลุ้น standby มันส์มากกกกก...
ปล. ที่อยากถามกันคือ ตั๋วพนักงานถูกกว่าธรรมดามากไหม?...ตอบตามที่รู้ (เพราะผมไม่รู้ว่าแต่ละท่านซื้อตั๋วได้ราคาเท่าไหร่) ว่า ค่าตั๋วผมพอกับ low cost ตอนแพงๆ ถ้าเป็น confirm สมัยก่อนเขาเรียก R75 คือลดจากปกติ 75% แต่...ไปดูขายตั๋วในเวปนะครับ แล้วท่านจะสงสัยเหมือนผม...ราคาตั๋วมันเท่าไหร่กันแน่ฟระ...แต่ตอนนี้ระบบนี้เปลี่ยนไปแล้วนะครับ(ตามที่เข้าใจ) คือ ยิ่งเข้าใจยากไปกันใหญ่ ดังนั้น...อย่าถาม!!! อยากรู้จริงๆไปสมัครเข้าทำงานเลยครับ รู้จริงแน่ทีนี้ 555+
บทความต่อไป ขากลับ จะบอกว่าสบายกว่านี้เยอะ มีรูปสวย
วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558
ซ้อม ซ้อม ซ้อม ...และ...ซ้อม
วลีจากโฆษษณาเมื่อนานมาแล้ว ออกแนวว่า คนเราจะประสบความสำเร็จต้องมีความพยายาม...ซ้อมเข้าไป แล้วผลจะดีเอง...ผมก็ไม่ได้เถียงนะครับ สอนวงโยฯมาก็มาก เห็นหลายวงใช้คติซ้อมๆๆและซ้อม แล้วประสบความสำเร็จก็มีครับ แต่ด้วยประสบการณ์ชีวิตทำให้รู้ว่า บางครั้งซ้อมน้อยก็ชนะซ้อมมากได้เหมือนกัน
ออกตัวก่อนนะครับ บล็อคนี้มาจากประสบการณ์ล้วนๆ ไม่อิงทฤษฎีเล่มไหนทั้งนั้น เขียนขึ้นด้วยอารมณ์น้อยใจ + อนาถตัวเอง + สงสารปนหมั่นไส้เด็ก..!!!...ทำไมหรือครับ??...จะเล่าให้ฟัง
ผมกำลังมั่นใจว่าจะย้ายโรงเรียน ย้ายไม่ได้ก็จะลาออกซะ เพราะ 10 ปีที่ผมพยายามใช้ความสามารถทั้งหมดที่มีด้วยมุ่งจะให้ต้นสังกัดตัวเองเจริญทันเทียมอารยะ แต่สุดท้ายต้องหมดแรงเพราะความขี้เกียจของคน...อะไรก็ได้ที่ตัวเองมีความสุข ไม่เหนื่อย ไม่เดือนร้อน...นอกนั้น Say no!! ต้องย้ำว่า เด็กด้วยนะ...
ทำไมถึงน้อยใจ...ก็คนเราน่ะ...ผมเป็นครูทำกิจกรรม ต้องปะทะเจอกับเด็กนอกเวลา ไม่ได้มีคะแนนเป็นข้อแลกเปลี่ยนให้เด็กทำหน้าที่ จะมีก็แต่ความชอบของเขาเอง...ถามว่าเด็กชอบอะไร 21 ปี กับอาชีพนี้ เด็กอยากโต อยากโชว์ อยากช่วย (อันหลังนี่ไม่ค่อยมีแล้วยุคนี้) คือ ชอบคิดว่าตัวเองโตแล้วรู้ดีแล้ว ครูโบราณไม่ทันสมัย รู้ไม่เท่าทันเด็ก อยากโชว์ว่าฉันมีความสามารถพิสูจน์กันตรงคนชื่นชมมีชัยชนะในการแข่ง...แต่สุดท้ายผมสรุปได้ว่า ครู...เป็นได้แค่ไอ้ถ่วงความเจริญ ชอบให้ทำอะไรก็ไม่รู้ไม่ตรงประเด็น ฉันจะลงแข่งเพลงเพื่อชีวิตก็ให้ซ้อมเพลงฝรั่งอยู่ได้...ฉันจะเต้น cover ดัน(เสือก)ให้ไปวิ่งไปเต้นแอรโรบิค...แต่สุดท้ายก็ถูกครูบังคับให้ทำ รายการไหนแพ้ก็บ่นว่าไม่แพ้ได้ไง ให้ซ้อมอะไรก็ไม่รู้เสียเวลา พอชนะมาบอก"กูเก่ง"
อนาถตัวเองทำไม...ก็เพราะนับวันเด็กยุคนี้สั่งสอนยากขึ้นทุกที เดี๋ยวนี้เขามีครูยูทูป ไม่ฟังหรอกครูกระดาษทรายน่ะ เห็นเขาเล่นเก่งๆก็ยกมาโดยเฉพาะเสื้อผ้า เหมือนกับว่าถ้ากูแต่งเหมือนเขาก็จะเก่ง จะสวยเหมือนเขา....ฝันหวาน........อนาถตรงพูดไม่ออกนี่ล่ะ...อยากจะบอกว่า "อีด...กเอ๋ย หน้าตาและฝีมือไม่ได้ติ่งเขาแม้แต่น้อย ยังจะไปบอกว่ากูเป็นติ่งเขาอีกกกก..กก.ก.....พูดไม่ออกครับ...เพราะครูถูกสั่งให้บอกว่า เก่งมากลูก...ถุ๋ย!
สงสารทำไม....สงสารพวกที่ต้องตะบี้ตะบันซ้อมเป็นเดือนๆปีๆโดยไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ตรงไหน ทำอะไรอยู่ หมั่นไส้ก็เพราะคนพวกนี้ชอบหลงว่าตัวเองเก่งแล้ว...ถ้าแพ้เขาก็จะบ่นว่าโดนโกงมั่ง กรรมการไม่ยุติธรรมมั่ง ฯลฯ
พอรู้ว่าครูจะย้าย บางคนดีใจ บางคนบอกช่างมัน บางคนร้องไห้(ไม่นานหรอก) คนดีใจก็เหมือนนิทานกบเลือกนาย คนดีใจก็คงรู้ว่าครูคนไหนก็เหมือนกัน คนร้องไห้ก็เพราะตกใจกับการเปลี่ยนแปลง..แต่ขอบอก ไม่เกินเดือนที่ครูย้ายออก เด็กจะลืมครูจนหมดสิ้นจำได้แต่เรื่องเลวร้ายที่ครูทำไว้ ...ก็แน่ล่ะ เรื่องดีๆครูก็หอบไปทำงานที่ใหม่ด้วย ทิ้งไว้เรื่องเลวๆไว้ในลิ้นชักโต๊ะเก่า เด็กไปเจอก็ต้องคิดแบบนั้นธรรมดา
เลิกบ่นดีกว่าครับ สรุปว่า เด็กน่ะ ไม่เคยอะไรกับครูหรอก จบไปก็ลืม ดุด่าเขาไว้อีกหน่อยจบไปเดินผ่านกันมันจะหลอกด่าเอา ขนาดไปยืนดูแลความปลอดภัยให้มันยังบอกว่ามายืนเหี้ยอะไร?...เด็กสมัยนี้ ถ่อยได้อีก
กลับมาเรื่องซ้อม อย่างที่กล่าวไว้ตอนต้น ซ้อมน้อยแต่แซงซ้อมเยอะ...ได้ไง?...ผมมีประสบการณ์ทำวงมาตั้งแต่อายุ 22 ขวบ ตอนนั้นไม่รู้อะไรหรอก คิดแต่ว่า ต้องแข่งชนะ...จะชนะได้ต้องมีโค้ดยากๆ เพลงยากๆ จะทำได้ก็ต้องซ้อมหนักๆ คิดแค่นั้น...แต่ปัญหาที่ตามมาคือ โค้ดยากไป เพลงก็ยากเกิน เด็กทำไม่ได้...เราก็ อะไรวะ...แค่นี้ทำไม่ได้...ก็ไม่รู้จะทำไงครับ ก็ตะบันซ้อมมมมม...ไม่ได้ก็ เอาใหม่ๆๆๆๆ จนถึงคืนก่อนแข่งก็ยังไม่โอเค ทำแบบนี้ได้ 7 ปี เลิกครับ...(ย้ายหลายโรงเรียนกว่าจะเลิก) ตอนเลิกก็คือเบื่อประกวดแข่งขัน สิ่งที่เจอหลังจากนั้นคือคำว่า "อะไรวะ" อย่างแรกเลยครับ ปกติจะแข่งทีต้องทะเลาะต้องฟังผู้บริหารบ่นๆๆๆๆ เอะอะก็จะเลิกแข่ง เอะอะก็เงินไม่มี พอเราบอกไม่แข่งนะ อ้างเด็กไม่พร้อม ทีนี้นะ "เมื่อไหร่จะแข่ง?" ถามทุกวัน แย้งไปว่าเปลืองเงิน กลับบอกว่าเงินมีเยอะแยะ...ยิ่งถอยก็ยิ่งได้ครับ
อย่างที่สอง...พอไม่ประกวดแข่งขัน แรกๆก็ไม่รู้จะซ้อมอะไร ผมก็เบื่อเหมือนเด็กครับ หายใจทิ้ง สุดท้ายก็วอร์มทั้งเย็น ฝึก rhythm มั่ง Tone มั่ง ออกกำลังกาย อะไรไปเรื่อยเปื่อย คือเห็นอะไรที่เด็กประกวดต้องใช้แต่ไม่มีเวลาทำเพราะต้องซ้อมโค้ด ก็เอามาทำเพราะว่างมาก ทำจนหมดก็ปล่อยติวการบ้านให้พี่ๆสอนการบ้านน้องๆ ช่วยกันทำรายงาน งานฝีมือบ้าง เผลอๆก็พากันไปดูหนังซื้อตั๋วยาวเป็นตั๋วรถเมล์ ปรากฎว่าสองปีผ่านไปวงแน่นมาก เด็กรักกันผูกพันธ์กัน ทุ่มเททำอะไรเพื่อกันและกันรวมถึงการซ้อม มีไม่ชอบกันก็บอกกันเปิดเผยแต่ไม่เคยทะเลาะกันเพราะเด็กจะรู้ตัว จะอยู่ด้วยกันเฉพาะเรื่องซ้อมเรื่องวงเท่านั้น ....เพลงที่เคยเล่นไม่ได้ ที่ว่ามหาหิน เด็กรุ่นนี้เล่นเหมือนไม่มีความยากอยู่เลย...ถามว่าคล่องปรื๋อเลยหรือ..ก็ไม่นะครับ แต่ความรู้สึกคือ ต่อเพลงอะไรเด็กจะพบอุปสรรคเท่าๆกัน ไม่ว่าเพลงจะยากจะง่ายขนาดไหนมันก็จะติดๆขัดๆแบบเดิมๆ แปปเดียวก็ผ่าน คนไหนไม่ทันเพื่อนจะร้องห่มร้องไห้ด้วยเหตุผลคือช่วยเพื่อนเล่นไม่ได้ เป็นตัวถ่วง ฯลฯ เพื่อนๆก็ต้องมาช่วยกันเหมือนเรื่องอื่นๆ...4 ปี ผ่านไป(ผมไม่อยู่แล้ว) วงนี้ประกวดชนะเป็นว่าเล่น ในขณที่วงเก่าๆ(ที่ผมเคยไปช่วยไปทำ) 10 ปีก็ยังไม่ไปไหนจนยุบวงไป
จากสองด้านทำให้ผมสรุปได้ว่า การซ้อม คือ....
การซ้อมคือการทำสิ่งที่ทำไม่ได้ให้ได้
...ด้วย ...
1. การสร้างพื้นฐานทั้งร่างกาย จิตใจ ทีมเวิร์ค ให้ทุกคนทำงานด้วยกันได้อย่างมีความสุข
2. การพัฒนาพื้นฐานการเล่น ความรู้ ทฤษฎี ให้มีมากกว่าที่จะใช้
3. พัฒนาสกิล(skill) โดยการนำเอาพื้นฐานที่ฝึกแล้วมาใช้ หรือ เอาสิ่งที่ใช้ไปเป็นพื้นฐานการฝึก
ผมพบว่า วงไหน กลุ่มไหน สามารถวิ่งไปด้วยกันเป็นแถวได้ ยิ่งวิ่งเท้าพร้อมกันได้ กลุ่มนั้นวงนั้นจะมี rhythmic ที่ดีมากกว่า วงไหนได้เล่นซนร้องคาราโอเกะด้วยกันบ่อยๆ จะเข้าใจเรื่อง Tone ได้ง่าย บางทีย้าย section บ้างเป็นช่วง(ผมใช้วิธีให้เด็กย้ายไปฝึกเปียโนหรือ Pitch percussion) เด็กที่ผ่านประสบการณ์พวกนี้จะเรียนรู้เรื่อง Harmony จนถึง Counter point ได้แบบไม่รู้ตัว ดีกว่าคนที่ไม่ยอมไป เด็กโตๆ ผมจะให้ออกมานำฝึกออกมาเป็นผู้อำนวยเพลงโดยไม่ซ้้ำอยู่กับคนเดิมๆ(ต้องคอยดูด้วยนะครับ) สอนเขาอำนวยเพลงเท่าที่เขาอยากรู้ สิ่งที่พบคือ เด็กเหล่านี้จะรู้จัก music part มากกว่าคนไม่เคย เมื่อเขาไปอยู่ในวงเขาจะได้ยินทำนองอื่นๆมากกว่าที่เคย(ผมเรียนรู้ว่าเรื่องนี้จะเป็นมากสำหรับคนเล่นเบส) และสมาชิกในวงจะรู้จักแยกแยะเข้าใจความแตกต่างของ conductor แต่ละคนได้...สิ่งที่ผมสรุปได้คือ เด็กเหล่านี้ต้องการพื้นฐานที่ดีมากกว่าโค้ดยากๆ เพราะเท่าที่เห็น เด็กพวกนี้เล่นของง่ายๆให้น่าดูได้ และที่เจ็บปวดคือ เด็กพวกนี้ไม่รู้จักคำว่า "ทำไม่ได้" ตราบที่พื้นฐานเขาปูถึง
สิ่งที่อยากจะสรุปให้ฟัง คือ อย่าคิดว่าการชนะคือสิ่งพิสูจน์อะไร...การประกวดเเข่งขันอะไรที่เป็นคะแนนพิสวาศ มันอาจจะยอดเยี่ยมสำหรับคนคนหนึ่งจนน้ำตาไหลพราก แต่คนที่นั่งอยู่ข้างอาจจะรังเกียจจนปวดอ้วกก็เป็นได้ ... สิ่งสำคัญ คือ การที่เราจะแสดงการแสดงอะไรสักอย่างให้คนดู เราคงต้องรู้จักสิ่งที่เราจะเล่นให้ถ่องแท้เสียก่อน ประหนึ่งคนจะเล่นละครก็ต้องเข้าใจเนื้อหาและอารมณ์ของละครก่อนจึงจะแสดงได้ดี ... ส่วนดนตรีและการเต้น เราก็ควรจะมีพื้นฐานที่ดี และควรมีอย่างเหลือเฟือให้เราได้เลือกใช้ เสมือนเราถ่ายน้ำโอ่งด้วยขันที่เราไม่มีวันตักขึ้นได้หมดเกลี้ยง ยังไงก็ต้องเหลือติดก้นไม่มากก็น้อย แล้วถ้าเรามีน้ำแค่พอดีเป๊ะๆ โอ่งใบใหม่ก็จะมีน้ำไม่เต็ม เราก็จะสู้คนที่เขามีน้ำสำรองไม่ได้ ไหนจะหกกลางทางอีก ... การตะบันซ้อมก็เหมือนการพยายามใช้กาละมังใบใหญ่ๆถ่ายน้ำจากโอ่ง(เพราะคิดว่าจะเร็ว) ยกก็ไม่ค่อยจะไหว เพราะพื้นฐานร่างกายเราไม่ดี ไหนจะหกกลางทางเพราะพื้นฐานการเดินวิ่งเราแย่ ไหนจะอุปสรรค์ของกาละมังที่ใหญ่จนตักน้ำก้นโอ่งไม่ได้...คนจะใช้กาละมังให้มีประสิทธิภาพ มันก็คงต้องเริ่มจากขันใบเล็กๆก่อนมิใช่หรือ แล้วเราก็คงต้องมีเวลาฝึกตัก ฝึกเดินให้นิ่ง ฟิตร่างกายให้แข็งแรง ซึ่งมันก็ต้องใช้เวลาและความอดทนในการฝึกทีละอย่าง ... มาถึงก็ฝึกแต่แบกกาละมังวิ่ง มีแต่เจ็บกับเจ็บ...
.....คนที่ตะบันซ้อม เป็นคนที่น่าสงสาร เพราะต้องฝึกสิ่งที่ไม่เคยทำไปทั้งชีวิต และไม่เคยรู้ว่าตัวเองอยู่ตรงไหนแล้ว....ดังนั้น..เขาเป็นคนที่ไม่น่าจะพูดได้ว่า "ทำเต็มที่แล้ว" ...
Credit picture from Google and DCI
วันอังคารที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2557
ซื้อทำไม กล้องติดรถ
เมื่อวานไปเดินซื้อของที่เซียร์มา เห็นกล้องวงจรปิด กล้องติดรถขายกันเกลี่อน เดินไปมองพนักงานก็ชอบพูดว่าถามได้นะ...เบื่อจริงๆ พอถามเข้าจริงก็ตอบไม่เห็นจะได้ มั่วไปเรื่อย อยากจะบอกว่าถ้าคุณแม่ค้าตอบผมว่าไม่ทราบค่ะ ผมอาจจะซื้อก็ได้ แถมบางคนยังมีอาการอวดฉลาด นั่นไม่เท่าไหร่ แต่พวกที่ชอบคิดว่าคนซื้อโง่นี่...ไม่ไหว
กล้องติดรถกับกล้องวงจรปิดชอบขายอยู่ด้วยกัน เห็นติดป้านกล้องตัวละ2,000 เขียนตัวเล็กๆว่า 420TVL เห็นคะยั้ยคะยอให้ถามนัก ลองถามว่า 420 TVL นี่คืออะไร ดันตอบซะมั่นใจเลยว่า รุ่นใหม่ค่ะ สว่างกว่ารุ่นธรรมดา...ขอบใจ...ตรูไม่ถามก็ได้ฟระ...มึน...
พอเหลือบไปมองกล้องติดรถ คุณแม่ฯคนเดิมก็รีบเสนอขายไม่รั้งรอ แต่ที่ผมสงสัยจริงๆ ไม่ได้แกล้งโง่คือ ทำไมราคามันหลากหลายต่างกันมหาศาลขนาดนี้ มีตั้งแต่สี่ห้าร้อยจนสองสามพัน เห็นก็ 1080HD เกือบทุกตัว...หันไปถามแม่ค้าว่า มันต่างกันตรงไหนรุ่น 500 กัน 2000 แม่ค้าตอบว่า ก็แล้วแต่ ถามไปถามมาจะเถียงกัน เพราะแม่แกตอบทุบดื้อๆว่ารับมาเท่าไหร่ก็บวกกำไร มันแพงมาจากต้นทาง..เออ ดี สรุปคือไม่รู้ว่างั้นเหอะ แต่พี่แกก็ถามเซ้าซี้ว่า คุณจะเน้นแบบไหน อ่าว...ก็ตรูก็ถามอยู่ว่ามันต่างกันตรงไหน แม่ค้าตอบไม่ได้ แล้วผมจะบอกคุณได้ไงละครับว่าผมจะเน้นอะไร...อันนี้ชัดกว่าอันนั้น อันนี้เฟรมเรทสูงกว่า อันนี้ทำอย่างอื่นได้ด้วย บลาๆๆๆ ก็ว่าไปสิ...ก็เลยไม่ได้ซื้อ เพราะโดนแม่ค้ากวนตีนนี่แหละ..
แต่เดี๋ยวก่อน....พอหยิบโทรศัพท์ออกมาก็เลยมีสตินึกขึ้นได้ว่า.."จะซื้อทำไมว้าาาา"...นี่ไง! กล้องเทพ เพราะอะไร smart phone เดี๋ยวนี้มีโปรแกรมหลากหลายว่าแล้วก็.....555+ นั่นไง มีจริงๆ โปรแกรมประเภทกล้องติดรถหรือ car camera ....555+ ขอขำอีกที
คุณสมบัติสำคัญของกล้องติดรถคือ มันจะบันทึกภาพไปเรื่อยๆ แล้วค่อยๆลบของเก่าทิ้งไป เผื่อมีอุบัติเหตุหรือภาพตื่นเต้นจะได้เปิดดูซ้ำช่วยเราได้ แต่ smart phone ก็ถ่าย VDO ได้ แต่มันถ่ายเป็นไฟล์เก็บไว้จนเต็ม memory โปรแกรมพวกนี้จะคอยจัดการเรื่องไฟล์ VDO ให้เราเอง คือมันอัดเป็นไฟล์ๆ และลบไฟล์ที่เก่าแล้วทิ้งไป
อยากจะบอกว่า โปรแกรมบน smart phone มีความยืดหยุ่นและลูกเล่นมากกว่าที่กล้องติดรถมี อันที่เจ๋งๆ ก็เห็นจะเป็นระบบ GPS ซึ่งมีอยู่แล้วในโทรศัพท์ ดังนั้นนอกจากจะบันทึก VDO ไว้เป็นหลักฐานได้แล้ว มันยังบอกตำแหน่งของเราได้ บอกได้ว่า ขณะนั้นเราขับรถด้วยความเร็วเท่าไหร่ บางโปรแกรมจำเส้นทางด้วยว่ามาจากไหน บางโปรแกรมมี snap shot ให้ด้วย บางโปรแกรมมี shock sensor พอมีแรงกระแทก โปรแกรมจะล็อคไฟล์นี้ไว้ไม่ให้ลบ หรือ snap short ไว้ด้วย บางโปรแกรมพอเกิด shock แล้วไม่มีคนมากดหน้าจอเกินกว่าเวลาที่ตั้งไว้ โปรแกรมจะโทรออกไปยังเบอร์โทรฉุกเฉิน หรือ ส่ง sms บอกตำแหน่งและข้อความที่ตั้งไว้ด้วย...555+ ขอขำอีกหนึ่งที เพราะผมคิดได้แล้วว่า ใช้อันนี้ดีสุด
แต่ว่า ก็ไม่ใช่ดีไม่มีเสียนะครับ เพราะโทรศัพท์เราต้องใช้ การตั้ง Auto ก็ลำบาก เท่าที่ลองก็ไม่ค่อยจะเป็นไปตามเงื่อนไข อีกทั้งกล้องติดรถจะมี infrared ทำให้ภาพกลางคืนชัดกว่า แต่ถ้าโทรศัพท์ไฮโซหน่อยก็คงจะสูได้หรือดีกว่า ส่วนสำคัญอย่างหนึ่งคือ ต้องถอดเข้าถอดออกเนี่ยแหละ ครั้นจะติดแช่ไว้ก็ไม่มีโทรศัพท์ใช้ ดีไม่ดีกระจกรถจะแตกเพราะโดนทุบขโมยโทรศัพท์ซะ ก็ต้องเลือกนะครับ แล้วแต่จะชอบ ผมเลือกใช้โทรศัพท์เพราะงบน้อย ใช้ที่มีดีกว่า ........ว่าแต่กล้องติดรถเนี่ย จอดทิ้งไว้ที่ทำงาน เย็นมากองอยู่ที่พื้นทุกที...แดดบ้านเรามันแรง ยางตัวดูดเปื่อยหมด สุดท้ายก็ต้องถอดเข้าถอดออกเหมือนกัน....เฮ้อ...
วันพุธที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
แสงสีฟ้า ไม่ใช่แค่โฆษณาชวนเชื่อ
ช่วงหลังๆ มีการโฆษณาฟิลม์กันรอยมือถือที่บอกว่ากันแสงสีฟ้า และอ้างข้อเสียของแสงสีฟ้าว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพ บางคนเห็นแล้วก็ว่า "เว่อร์"ไปรึเปล่า...คือไม่ใช่ไม่เชื่อ แต่มันเกินเหตุไปรึเปล่า?...ผมก็เป็นคนหนึ่งที่คิดเช่นนั้น...
ก็เลยไปศึกษาดูเกี่ยวกับอันตรายจากแสงสีฟ้าที่ว่าส่องออกมาจากจอมือถือต่างๆ ปรากฎว่าสิ่งที่ค้นเจอมันมากกว่าที่คิด
อันที่จริงการจ้อง เพ่ง จอมือถือก็ทำให้ตาเสียได้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเสียสายตาเพราะเพ่งมองตัวหนังสือเล็กๆ ทำให้ต้องถือจ่อตาในระยะที่ต่ำกว่ามาตรฐาน และ อื่นๆอีกมากมาย แต่ผลกระทบจากแสงสีฟ้าเนี่ย...โฆษณาไม่ได้บอกไว้เลยว่าเสียสุขภาพอย่างไร
ความจริงแสงก็คือคลื่นชนิดหนึ่งและมีมากว่าที่ตาเราเห็น คือเราจะเห็นแสงแค่สีแดงถึงสีม่วงเท่านั้น แสงที่ความถี่ต่ำกว่าแดงเราจะคุ้นเคยว่า Infrared สูงกว่าสีม่วงเราเรียกว่า Ultra violet ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั้งนั้น และหลายคนก็คงรู้อีกว่า แสงทั้งสองอย่างไม่ดีต่อเรา แต่อันตรายจากแสงสีฟ้าต่างจากนั้น คือ แสงสีฟ้าจะมีพลังงานสูงกว่าสีอื่นๆ นั่่นคือเหตุผลหนึ่งที่เรามองเห็นท้องฟ้าเป็นสีฟ้า และเมื่อเราเพ่งจอมือถือซึ่งผลิตแสงออกมาและแน่นอน แสงสีฟ้าที่ออกมาจากจอย่อมมีพลังงานสูงกว่าแสงสีอื่น ซึ่งอาจมากพอทำลายจอประสาทตาได้ในระยะยาว
ที่ตื่นเต้นกว่านั้น คือ มีผลงานวิจัยจากนักวิทยาศาสตร์ที่รวมตัวกันศึกษาผลกระทบของการทำงานเป็นกะ พบว่าคนที่ทำงานเป็นกะ หรือ ทำงานกลางคืน มีโอกาสป่วยด้วยโรคต่างๆมากกว่าคนที่ทำงานกลางวัน โดยเฉพาะมะเร็ง และจากการศึกษาพบว่า สาเหตุมาจากการสับสนของนาฬิการ่างกายของคนเราทำให้การหลั่งฮอร์โมนผิดพลาด เนื่องจากในขณะที่เราหลับลึก ร่างกายจะหลั่งสารต่อต้านอนุมูลอิสระออกมาทำให้ลดโอกาสการเป็นมะเร็ง ดังนั้นคนที่นอนน้อยก็จะมีโอกาสเป็นมะเร็งมาก ต้องเน้นว่าการหลับลึกเท่านั้นจึงจะมีผล และสารต้านอนุมูลฯจะหลั่งหลังจากเข้าสู่ภาวะหลับลึกไปแล้วประมาณ 2 ชั่วโมง
การศึกษาพบว่า มีแสง 2 สี ที่ส่งผลต่อระบบนาฬิกาในร่างกาย คือ แสงสีฟ้า และแสงสีเหลือง กล่าวคือ เมื่อคนเราเห็นแสงสีฟ้า ซึ่งเราจะเห็นแสงนี้ในธรรมชาติในตอนกลางวัน เช่น แสงท้องฟ้า ร่างกายจะเรียนรู้ว่าขณะนี้เป็นเวลากลางวัน และร่างกายจะเข้าสู่โหมดเตรียมพร้อมในการใช้งานร่างกาย ระบบซ่อมแซมร่างกายจะหยุดลง และเมื่อเห็นแสงสีเหลือง(แสงท้องฟ้าตอนเย็น)ร่างกายจะเข้าเรียนรู้ว่ากำลังจะมืด ร่างกายจะลดกระบวนการลง ซึ่งก็จะทำให้เราง่วงนอนนั่นเอง
นักวิทยาศาสตร์พบว่า การให้คนขับรถบรรทุกเห็นแสงสีฟ้าในขณะขับรถ จะทำให้คนขับง่วงนอนน้อยลง และการใช้แว่นตากรองแสงสีฟ้ากับกลุ่มตัวอย่างที่ทำงานกะกลางคืนพบว่า ร่างกายมีการหลั่งสารต่างๆที่จะมีเฉพาะตอนหลับออกมาได้โดยมิต้องนอนหลับจริงๆแต่ประการใด
รู้แบบนี้แล้ว ก็อย่าจ้องมองจอมากไปนะครับ ... เป็นแผลที่เนื้อตัวรักษาได้ เป็นแผลที่ตานี่ต้องรอชาติหน้าเลยนะครับ...
วันอาทิตย์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2557
การสอบใบขับขี่
สวัสดีครับ วันนี้วันที่ 12 เมษา 57 ก่อนวันสงกรานต์ 1 วัน เป็นวันหยุดยาวที่หลายๆคนรอคอย ผมก็เลยมีเวลาโพสต์บล็อกซักเรื่องเนื่องในวันหยุด เพราะพึ่งไปทำใบขับขี่(รอบที่ 3) มาเมื่อวาน อยากจะบอกว่า สุดยอด!!... แต่ว่าสุดยอดตรงไหนลองอ่านดูนะครับ
ผมไม่ได้ขับรถนานแล้วก็เลยปล่อยใบขับขี่ที่มีแบบไม่สนใจ เผลอแปปเดียวขาดอายุไป 4 ปีเศษ พอต้องมีภาระกิจขับรถไปต่างจังหวัดก็เลยต้องไปต่อใบขับขี่ ผมก็เลยเดินทางไปที่กรมขนส่งฯตรงจตุจักร ปรากฎว่าไม่ได้ทำหรอกครับ เพราะไปอ่านป้ายแล้วต้องร้อง อั๋ยย๊ะ...ก็ระเบียบชัดเจนว่า ใบขับขี่ที่ขาดอายุเกิน 1 ปีแต่ไม่เกิน 3 ปี ต้องอบรมและสอบข้อเขียน ถ้าขาดเกิน 3 ปี ต้องทำใหม่หมดเหมือนทำใหม่...แล้วดูคนครับ...เพี้ยบ!! พอไปถามปรากฎว่า ไม่รับคิวหน้างานครับ ต้องโทรจอง นานเป็นเดือน!! ผมเลยถอยกลับมาตั้งหลักก่อน
กลับบ้านมาก็มาหาข้อมูลว่าจะจองคิวอย่างไร ก็มีผู้ที่ให้ความรู้ในเวปต่างๆนี่ล่ะครับ ให้ช่องว่า มีขนส่งต่างจังหวัดคนจะน้อย และรับคิวหน้างานบ้าง ผมก็หาสถานที่พบว่าที่ อ.คลองหลวง มีสาขาของกรมการขนส่งซึ่งรับทำใบขับขี่อยู่ ก็เลยตัดสินใจไปที่นั่น
ออกจากบ้านแต่เช้ามืดครับ ไปถึงราว 6 โมงเศษ มีคนรออยู่ก่อนแล้วร่วม 30 คน รอไปรอมาได้คิวที่ 21 เกินที่เขากำหนดไว้ 1 คน คือรับแค่ 20 คิว ที่เหลือรับจากคิวจองอีก 40 คน รวมกับพวกสอบตกมาสอบซ่อมอีก ก็วันนึงราวเกือบร้อย...
ผมโชคดีได้คิวคนจองแต่ไม่มา ได้สอบละครับงานนี้...อิอิ กรอกใบคำขอเสร็จก็ไปสอบสมรรถภาพครับ มีให้ทำ 4 อย่าง คือ ตรวจตาบอดสี คือ เจ้าหน้าที่จะชี้ๆป้าย เราก็ตอบๆไป อย่างที่สองคือทดสอบประสาทสัมผัส ให้เหยียบคันเร่ง พอเห็นไฟแดงให้เหยียบเบรค...หึหึ สนุกดี อย่างที่สามคือทดสอบการกะระยะ เข้าใจว่าเป็นการทดสอบอาการตาเหล่แฝง คือจะมองลอดรู มองไปจะเห็นไม้สองแท่ง เราต้องเลื่อนไม้เดินหน้า-ถอยหลัง ให้ทั้งสองแท่งอยู่ตรงกัน อันที่สี่คือทดสอบความกว้างในการมอง จะมีช่องสีให้เรามองข้างละช่อง เจ้านหน้าที่จะกดไฟให้เราบอกว่าเห็นสีอะไร ที่ฮาคือเจ้าหน้าที่สถานีที่สามกับสี่นี่โคตรดุเลย (เขาใช้เจ้าหน้าที่หนึ่งคนทดสอบสองสถานี)
ทดสอบเสร็จก็เข้าห้องอบรม มีเปิดวิดีโอให้ดูเรื่อยๆ เกี่ยวกับการขับรถ จริงๆมันคือการรอเวลาให้คนสอบสมรรถภาพเสร็จหมดนั่นเอง พอสิบโมงก็มีเจ้าหน้าที่มาอบรมเกี่ยวกับกฎจราจร เรามันพวกเก่าแล้วฟังไปก็ง่วงไป แต่ทำไงได้ ระเบียบให้อบรมตั้ง 4 ชม. แถมมีข่าวว่าจะเพิ่มเป็น 12 ชม.อีกต่างหาก
อบรมกันสองช่วง เช้าสอง บ่ายสอง พออบรมเสร็จก็สอบเลย(เดี๋ยวลืม) แต่การสอบนี่น่าสนุก ใครกะจะใช้ความรู้รอบโต๊ะล่ะก็ ลืมไปได้เลย เพราะการสอบใช้คอมพิวเตอร์ครับ ข้อสอบไม่ตรงกัน แต่...ก็นี่และที่อยากจะบ่นก็ตรงเนี้ย....ข้อสอบมี 30 ข้อ ต้องได้ 23 ข้อ ถึงจะผ่าน ผมทำผิดไป 3 ข้อ เพราะอะไรรู้ไหม? ก็เพราะข้อสอบมันไม่รู้จะตอบว่าอะไรกันแน่!! คือข้อสอบมัน error น่ะ เช่น มีข้อนึง(แทบอยากทุบคอม)ถามว่า ถ้ามีรถสองคันวิ่งมาพร้อมกันโดยที่คันหนึ่งจะเลี้ยวซ้ายอีกคันจะเลี้ยวขวา เราควรทำอย่างไร? !?!!?! ใครว่าไม่ error ก็บ้าแล้ว ...เรา คือใคร...คันที่จะเลี้ยวมันมาจากทางไหน...มันอยู่เลนไหน...ง่ะ!!! ไอบ้า นี่มันข้อสอบตัดคะแนนชัดๆ อีกข้อถามว่า การขับขี่รถยนต์ต้องวิ่งช่องซ้าย ยกเว้นกรณีใด ก.มีสิ่งกีดขวางในช่องซ้าย ข.มีน้ำท่วมขังในช่องซ้าย ค.ไม่มีรถวิ่งสวนมา ง.วิ่งได้ตลอดเวลา...เอ้า.. .ก. หรือ ค....ถ้าตอบ ก. แล้วมีรถวิ่งสวนมาล่ะ? ถ้าตอบ ค. แล้วถ้ามีสิ่งกีดขวางล่ะ...จริงๆ ข้อ ก. กับ ค. มันต้องอยู่ด้วยกันนิ หรือตูคิดมาก ....จะทำคลังข้อสอบทั้งที วิเคราะห์ข้อสอบให้ดีก็จะดีนะครับ เจ้าหน้าที่อ่านเจอก็กลับๆไปดูๆข้อสอบของท่านกันหน่อยนะ อาชีพครูอย่างผม เห็นแล้วรู้สึกรันทด ขนาดข้อสอบระดับชาติยังเป็นอย่างนี้ จะเอาอะไรกะข้อสอบในโรงเรียนที่ครูสอนเอง ออกเอง...กลุ้ม!
วันรุ่งขึ้นไปสอบภาคปฏิบัติ ขนส่งฯคลองหลวงนี่ มีให้สอบแค่สามท่า...ถ้าเป็นมอเตอร์ไซด์ จะให้แค่จอดให้ตรงจุด ขับทรงตัวบนทางแคบ 10 วินาที หลบกรวย 5 อัน จบล่ะ....โคตรง่าย...แต่ขับรถนี่สิ...สถานีก็เหมือนๆกับขนส่งใหญ่ แต่ที่แสบคือ ท่าหนึ่งนี่แหละ...ข้อสอบคือจอดชิดขอบทาง...ไม่ยากใช่ไหม?...แต่ ที่นี่กลับรถแล้วต้องจอดชิดขอบทางแทบจะทันที...คนที่ไปสอบมาจะเรียกท่านี้ว่า กลับรถชิดขอบทาง....โหดสุดๆ วันนึงสอบ 60 คน ตกที 20 กว่าคน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นท่าหนึ่งทั้งนั้น....แล้วก็อยากจะฝากไว้นะครับ ไม่ว่าจะสอบที่ไหน อย่าลืมคาดเข็มขัดทุกครั้ง ไม่งั้นพี่แกปรับตกไม่รู้เรื่อง พวกสอบมอเตอร์ไซด์ สวมหมวกต้องรัดสายคางด้วยนะ ไม่งั้นพี่แกปล่อยให้สอบจนเสร็จแล้วค่อยประกาศว่า "...หมวกไม่รัดสายคางนะคะ ไม่ผ่านค่ะ อีก 3 วันมาใหม่นะคะ..."
เอาละครับ เอาพอขำๆ...เพราะขำตัวเองตั้งหลายอย่าง ใบขับขี่ไปต่อตามเวลาก็ไม่ต้องยุ่งขนาดนี้ละ ปล่อยขาดซะนานเนก็ต้องลำบากอย่างนี้แหละ ... ว่าแต่ ใครนะที่คิดว่า การสอบใบขับขี่(ใหม่) ต้องอบรมกัน 4 ชม. แถมจะเพิ่มเป็น 12 ชม. เนี่ย มันจะทำให้คนขับรถดีขึ้น?....ใช่หรือ.... สมัยก่อนไม่อบรม แค่ให้อ่านหนังสือ ผมว่า คนสมัยนั้นขับรถดีมีน้ำใจกว่านี้อีกนะ เข้าแนวว่า ยิ่งเรียนยิ่งรู้มาก ยิ่งรู้มากยิ่งเกรียนหรือเปล่า?.... เพราะผมว่า มันก็แนวความคิดเดียวกับครู 5 ปี ครู 6 ปี เนี่ยแหละ เรียนเยอะแล้วมันจะมีความเป็นครูเพิ่มขึ้น จริงหรือไม่ก็ต้องดูกันต่อไป....แต่ที่แน่ๆ คนจะไปทำใบขับขี่ต้องลางานสองวัน เสียการเสียงาน ถ้าสอบตกก็ต้องลาเพิ่มอีก...หูยส์... งานบางประเภทถูกตัดเงิน...น่าเห็นใจนะครับ ขนส่งน่าลองพิจารณานะครับ เปิดสอบวันหยุดบ้างก็ได้ ไหนๆ ก็ใช้ระบบโทรจองอยู่แล้ว พอจะบรรเทาความเดือดร้อนคนบางอาชีพได้บ้าง....นศ.ครูไปฝึกสอนยังได้ ชม. ครูทดลองราชการยังได้เงินเดือน มาสอบขับรถนี่ไม่ได้อะไรเลยนอกจากใบขับขี่ แถมเสียเงินอีก 5 - 6 ร้อย แถมต้องไปทุก 5 ปี...ผมว่ามันถี่ไป.... เอาซัก 15 ปี ก็น่าจะโอเค...สภาพใครจะเปลี่ยนเร็วขนาดนั้นถ้าไม่ใช่ป่วยร้ายแรง
ผมไม่ได้ขับรถนานแล้วก็เลยปล่อยใบขับขี่ที่มีแบบไม่สนใจ เผลอแปปเดียวขาดอายุไป 4 ปีเศษ พอต้องมีภาระกิจขับรถไปต่างจังหวัดก็เลยต้องไปต่อใบขับขี่ ผมก็เลยเดินทางไปที่กรมขนส่งฯตรงจตุจักร ปรากฎว่าไม่ได้ทำหรอกครับ เพราะไปอ่านป้ายแล้วต้องร้อง อั๋ยย๊ะ...ก็ระเบียบชัดเจนว่า ใบขับขี่ที่ขาดอายุเกิน 1 ปีแต่ไม่เกิน 3 ปี ต้องอบรมและสอบข้อเขียน ถ้าขาดเกิน 3 ปี ต้องทำใหม่หมดเหมือนทำใหม่...แล้วดูคนครับ...เพี้ยบ!! พอไปถามปรากฎว่า ไม่รับคิวหน้างานครับ ต้องโทรจอง นานเป็นเดือน!! ผมเลยถอยกลับมาตั้งหลักก่อน
กลับบ้านมาก็มาหาข้อมูลว่าจะจองคิวอย่างไร ก็มีผู้ที่ให้ความรู้ในเวปต่างๆนี่ล่ะครับ ให้ช่องว่า มีขนส่งต่างจังหวัดคนจะน้อย และรับคิวหน้างานบ้าง ผมก็หาสถานที่พบว่าที่ อ.คลองหลวง มีสาขาของกรมการขนส่งซึ่งรับทำใบขับขี่อยู่ ก็เลยตัดสินใจไปที่นั่น
ออกจากบ้านแต่เช้ามืดครับ ไปถึงราว 6 โมงเศษ มีคนรออยู่ก่อนแล้วร่วม 30 คน รอไปรอมาได้คิวที่ 21 เกินที่เขากำหนดไว้ 1 คน คือรับแค่ 20 คิว ที่เหลือรับจากคิวจองอีก 40 คน รวมกับพวกสอบตกมาสอบซ่อมอีก ก็วันนึงราวเกือบร้อย...
ผมโชคดีได้คิวคนจองแต่ไม่มา ได้สอบละครับงานนี้...อิอิ กรอกใบคำขอเสร็จก็ไปสอบสมรรถภาพครับ มีให้ทำ 4 อย่าง คือ ตรวจตาบอดสี คือ เจ้าหน้าที่จะชี้ๆป้าย เราก็ตอบๆไป อย่างที่สองคือทดสอบประสาทสัมผัส ให้เหยียบคันเร่ง พอเห็นไฟแดงให้เหยียบเบรค...หึหึ สนุกดี อย่างที่สามคือทดสอบการกะระยะ เข้าใจว่าเป็นการทดสอบอาการตาเหล่แฝง คือจะมองลอดรู มองไปจะเห็นไม้สองแท่ง เราต้องเลื่อนไม้เดินหน้า-ถอยหลัง ให้ทั้งสองแท่งอยู่ตรงกัน อันที่สี่คือทดสอบความกว้างในการมอง จะมีช่องสีให้เรามองข้างละช่อง เจ้านหน้าที่จะกดไฟให้เราบอกว่าเห็นสีอะไร ที่ฮาคือเจ้าหน้าที่สถานีที่สามกับสี่นี่โคตรดุเลย (เขาใช้เจ้าหน้าที่หนึ่งคนทดสอบสองสถานี)
ทดสอบเสร็จก็เข้าห้องอบรม มีเปิดวิดีโอให้ดูเรื่อยๆ เกี่ยวกับการขับรถ จริงๆมันคือการรอเวลาให้คนสอบสมรรถภาพเสร็จหมดนั่นเอง พอสิบโมงก็มีเจ้าหน้าที่มาอบรมเกี่ยวกับกฎจราจร เรามันพวกเก่าแล้วฟังไปก็ง่วงไป แต่ทำไงได้ ระเบียบให้อบรมตั้ง 4 ชม. แถมมีข่าวว่าจะเพิ่มเป็น 12 ชม.อีกต่างหาก
อบรมกันสองช่วง เช้าสอง บ่ายสอง พออบรมเสร็จก็สอบเลย(เดี๋ยวลืม) แต่การสอบนี่น่าสนุก ใครกะจะใช้ความรู้รอบโต๊ะล่ะก็ ลืมไปได้เลย เพราะการสอบใช้คอมพิวเตอร์ครับ ข้อสอบไม่ตรงกัน แต่...ก็นี่และที่อยากจะบ่นก็ตรงเนี้ย....ข้อสอบมี 30 ข้อ ต้องได้ 23 ข้อ ถึงจะผ่าน ผมทำผิดไป 3 ข้อ เพราะอะไรรู้ไหม? ก็เพราะข้อสอบมันไม่รู้จะตอบว่าอะไรกันแน่!! คือข้อสอบมัน error น่ะ เช่น มีข้อนึง(แทบอยากทุบคอม)ถามว่า ถ้ามีรถสองคันวิ่งมาพร้อมกันโดยที่คันหนึ่งจะเลี้ยวซ้ายอีกคันจะเลี้ยวขวา เราควรทำอย่างไร? !?!!?! ใครว่าไม่ error ก็บ้าแล้ว ...เรา คือใคร...คันที่จะเลี้ยวมันมาจากทางไหน...มันอยู่เลนไหน...ง่ะ!!! ไอบ้า นี่มันข้อสอบตัดคะแนนชัดๆ อีกข้อถามว่า การขับขี่รถยนต์ต้องวิ่งช่องซ้าย ยกเว้นกรณีใด ก.มีสิ่งกีดขวางในช่องซ้าย ข.มีน้ำท่วมขังในช่องซ้าย ค.ไม่มีรถวิ่งสวนมา ง.วิ่งได้ตลอดเวลา...เอ้า.. .ก. หรือ ค....ถ้าตอบ ก. แล้วมีรถวิ่งสวนมาล่ะ? ถ้าตอบ ค. แล้วถ้ามีสิ่งกีดขวางล่ะ...จริงๆ ข้อ ก. กับ ค. มันต้องอยู่ด้วยกันนิ หรือตูคิดมาก ....จะทำคลังข้อสอบทั้งที วิเคราะห์ข้อสอบให้ดีก็จะดีนะครับ เจ้าหน้าที่อ่านเจอก็กลับๆไปดูๆข้อสอบของท่านกันหน่อยนะ อาชีพครูอย่างผม เห็นแล้วรู้สึกรันทด ขนาดข้อสอบระดับชาติยังเป็นอย่างนี้ จะเอาอะไรกะข้อสอบในโรงเรียนที่ครูสอนเอง ออกเอง...กลุ้ม!
วันรุ่งขึ้นไปสอบภาคปฏิบัติ ขนส่งฯคลองหลวงนี่ มีให้สอบแค่สามท่า...ถ้าเป็นมอเตอร์ไซด์ จะให้แค่จอดให้ตรงจุด ขับทรงตัวบนทางแคบ 10 วินาที หลบกรวย 5 อัน จบล่ะ....โคตรง่าย...แต่ขับรถนี่สิ...สถานีก็เหมือนๆกับขนส่งใหญ่ แต่ที่แสบคือ ท่าหนึ่งนี่แหละ...ข้อสอบคือจอดชิดขอบทาง...ไม่ยากใช่ไหม?...แต่ ที่นี่กลับรถแล้วต้องจอดชิดขอบทางแทบจะทันที...คนที่ไปสอบมาจะเรียกท่านี้ว่า กลับรถชิดขอบทาง....โหดสุดๆ วันนึงสอบ 60 คน ตกที 20 กว่าคน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นท่าหนึ่งทั้งนั้น....แล้วก็อยากจะฝากไว้นะครับ ไม่ว่าจะสอบที่ไหน อย่าลืมคาดเข็มขัดทุกครั้ง ไม่งั้นพี่แกปรับตกไม่รู้เรื่อง พวกสอบมอเตอร์ไซด์ สวมหมวกต้องรัดสายคางด้วยนะ ไม่งั้นพี่แกปล่อยให้สอบจนเสร็จแล้วค่อยประกาศว่า "...หมวกไม่รัดสายคางนะคะ ไม่ผ่านค่ะ อีก 3 วันมาใหม่นะคะ..."
เอาละครับ เอาพอขำๆ...เพราะขำตัวเองตั้งหลายอย่าง ใบขับขี่ไปต่อตามเวลาก็ไม่ต้องยุ่งขนาดนี้ละ ปล่อยขาดซะนานเนก็ต้องลำบากอย่างนี้แหละ ... ว่าแต่ ใครนะที่คิดว่า การสอบใบขับขี่(ใหม่) ต้องอบรมกัน 4 ชม. แถมจะเพิ่มเป็น 12 ชม. เนี่ย มันจะทำให้คนขับรถดีขึ้น?....ใช่หรือ.... สมัยก่อนไม่อบรม แค่ให้อ่านหนังสือ ผมว่า คนสมัยนั้นขับรถดีมีน้ำใจกว่านี้อีกนะ เข้าแนวว่า ยิ่งเรียนยิ่งรู้มาก ยิ่งรู้มากยิ่งเกรียนหรือเปล่า?.... เพราะผมว่า มันก็แนวความคิดเดียวกับครู 5 ปี ครู 6 ปี เนี่ยแหละ เรียนเยอะแล้วมันจะมีความเป็นครูเพิ่มขึ้น จริงหรือไม่ก็ต้องดูกันต่อไป....แต่ที่แน่ๆ คนจะไปทำใบขับขี่ต้องลางานสองวัน เสียการเสียงาน ถ้าสอบตกก็ต้องลาเพิ่มอีก...หูยส์... งานบางประเภทถูกตัดเงิน...น่าเห็นใจนะครับ ขนส่งน่าลองพิจารณานะครับ เปิดสอบวันหยุดบ้างก็ได้ ไหนๆ ก็ใช้ระบบโทรจองอยู่แล้ว พอจะบรรเทาความเดือดร้อนคนบางอาชีพได้บ้าง....นศ.ครูไปฝึกสอนยังได้ ชม. ครูทดลองราชการยังได้เงินเดือน มาสอบขับรถนี่ไม่ได้อะไรเลยนอกจากใบขับขี่ แถมเสียเงินอีก 5 - 6 ร้อย แถมต้องไปทุก 5 ปี...ผมว่ามันถี่ไป.... เอาซัก 15 ปี ก็น่าจะโอเค...สภาพใครจะเปลี่ยนเร็วขนาดนั้นถ้าไม่ใช่ป่วยร้ายแรง
วันศุกร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2557
วงโยฯขอทาน !!!???
กระแสรุนแรงเรื่องวงโยฯสว.2 ไปขอยืมเงินคุณตันกลายเป็นเรื่องโด่งดังไปทั่วทุกที่...ครั้งแรกที่ผมเห็นเรื่องนี้คือ Facebook ซึ่งศิษย์เก่าท่านหนึ่งแชร์มาให้พร้อมคำถามว่า "ไหงทำงี้" ผมเปิดดูก็เห็นว่า มันคือคลิปที่(ใครสักคน)บรรยายเกี่ยวกับการได้รับเชิญไปแข่งที่ต่างประเทศแต่งบยังไม่มา...
จะไม่โพสก็เห็นว่าใครก็รู้กันหมด ทั้งคนในคนนอกวงการ คนไม่ได้เกี่ยวข้องกันการศึกษายังพูดกันเลย ผมเลยเกิดความรู้สึกเหมือนอยู่ตรงกลางยังไงก็ไม่รู้...เอาเป็นว่า นี่เป็นความเห็นส่วนตัวของผมก็แล้วกัน ใครไม่คิดอย่างผมก็อย่าใสใจละกันครับ
สิ่งที่เกิดขึ้น ไม่แปลกเลยสำหรับผม นี่คือมาตรฐานของวงจรนี้ด้วยซ้ำไป วงโยฯบ้านเราก็มีแต่เด็กระดับมัธยมเล่นกัน แล้วก็ชอบได้รับเชิญไปแข่งต่างประเทศ โรงเรียนก็ชอบอนุมัติ หน่วยงานกลางก็ชอบเห็นด้วย แต่คลังมักไม่ชอบจ่ายเงิน!!!
แล้วจะทำยังไง....ผมขออนุญาต "แฉ"เลยละกันว่า ทุกโรงเรียนที่ไปแข่งต่างประเทศ ก็ระดมทุนกันทั้งนั้น จะด้วยวิธีใดเท่านั้นเอง และงบก็ว่ากันเป็นสิบล้านทุกที เด็กๆเองก็ต้องเดือดร้อนออกตังค์ ผมเคยไปมีทีนึง เด็กออกต้งค์คนละ 4 หมื่น มีบางคนไม่มีตังค์ ครูก็เลยต้องเก็บเกินจริงเอาไปถัวกับคนที่ไม่มีตังค์
อย่าว่าแต่ไปต่างประเทศเลย แค่แข่งในประเทศยังขอกันตลอด มีทุกรูปแบบตั้งแต่ขอสนันสนุนจากห้างร้าน ผู้ปกครอง ทอดผ้าป่า หรือ แม้แต่ให้นักเรียนเดินเรี่ยไร...ผมเห็นเด็กเดินขอบริจาคแล้ว ขอบอกว่าน้องๆบางคน เกินค่าตัวจริงๆ ยกมือไหว้ท่วมหัว...พ่อแม่มาเห็นคงน้ำตาไหล
เนี่ย...คือวงจร....วงจร....(เรียกวงจรอุบาทว์ดีไหม?)....วงจรที่ผู้ใหญ่นี่แหละสร้างขึ้น เหตุเพราะค่าใช้จ่ายกิจกรรมนี้มีสูง แต่โรงเรียนไม่มีเงินจ่าย แถมมีค่านิยมเรื่องชื่อเสียงมาสนับสนุนอีก
ผู้ใหญ่ที่ผมจะขอกล่าวถึง คือ ผู้ใหญ่ทางระบบ ไม่ระบุตัวนะครับ...อย่างแรกคือ รัฐ...เรื่องภาษีเครื่องดนตรี ที่ถือว่าเครื่องดนตรีเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ภาษีสูงปรี๊ด จนราคาวงโยฯวงหนึ่งๆว่ากันเป็นหลักสิบล้าน ไม่เคยคิดจะสร้างระบบยกเว้นภาษีให้โรงเรียน แม้แต่โรงเรียนรัฐบาลซื้อเองก็ตาม เครื่องดนตรีรุ่นเดียวกัน บ้านเราขายห้าหมื่น ประเทศต้นทางขายหมื่นเดียว ซื้อเครื่องดนตรีวงนึง สิบล้าน เป็นต้นทุน 2.5ล้าน ภาษีซะ 5 ล้าน เจ๊กบวกไปอีก 30-40 เปอร์เซนต์...นั่นแหละราคา...ลองคิดกันดูขำๆนะครับ ถ้านโยบายรัฐสนับสนุนจริงๆ ก่อนจะหาเงินมาทุ่มให้เป็นสิบ ยี่สิบล้าน การยกเว้นภาษีจะทำให้ราคาจะลดลงไม่น้อยกว่าครึ่ง...ที่ตลกคือ โรงเรียนรัฐก็ใช้งบรัฐซื้อ ซึ่งก็มาจากภาษี....ขำๆ โง่ๆ ก็คือเก็บภาษีเจ็กขายเครื่องดนตรีมาซื้อเครื่องดนตรีเข้าโรงเรียน...แล้วจะคิดภาษีเพื่อ!!!.....???
ผู้ใหญ่ที่สองคือผู้บริหารโรงเรียน คนไม่ทำก็ไม่เอาเลยยย คนจะทำก็บ้าสุดขีด นานๆจะเจอคนที่มองภาพกว้างรวมๆได้ซักคน อย่างอดีต ผอ.โรงเรียนนี้(เนี่ยแหละ)ท่านหนึ่ง อยากให้โรงเรียนมีดนตรี อยากเห็นเด็กซ้อมมีความสุข แถมบล็อคไว้ด้วยว่า "ไม่แข่งนะ" แต่ก็มีแย้มๆว่า ถ้าพร้อมจริงๆค่อยว่ากัน ส่วนเรื่องงบท่านก็บอกว่า ค่อยเป็นค่อยไป มีเงินก็ซื้อ ให้ครูวางแผนยาวๆ....แต่ทว่า ส่วนใหญ่ไม่เป็นแบบนี้ เจอคนบ้าเข้าไป ทุ่มซื้อเครื่องดนตรีเยอะแยะ จ้างครูระดับเทพเจ้ามาสอน ดูดเด็กที่อื่นมาเล่น ทำทุกอย่างเพื่อชัยชนะ ซึ่งโรงเรียนหรือตัวของผู้บริหารหรือครูอาจได้ประโยชน์จากตรงนี้ แล้วเด็กล่ะ ได้อะไร? ให้ซ้อมๆๆๆๆแข่งๆๆๆๆ ชนะ!...แต่ไม่ได้เรียนหนังสือ... อยากจะบอกว่า บางครั้งสิ่งที่ผู้ใหญ่ระดับนี้ทำ มันเหมือนคลื่นสึนามิที่มีผลกระทบระยะยาวไปอีกหลายปี...โรงเรียนเปลี่ยนไป เด็กเปลี่ยนไป วัฒนธรรมเปลี่ยนไป...ท่านได้สร้างอะไรบางอย่างไว้ ซึ่งบางอย่างเด็กไม่น่าจะมี เช่น การทำทุกอย่างเพื่อตนเองและพรรคพวก เช่น การไปดูดคนอื่นมาจากโรงเรียนอื่น เพื่อเสริมสร้างตัวเอง ปล่อยให้วงเดิมของเขาพินาศพนาสูญไป มันเป็นคุณลักษณะจิตใจคับแคบที่ไม่ควรปลูกฝังให้เด็กมิใช่หรือ...
ผู้ใหญ่ที่สี่ คนเนี้ย โดนหนัก...ก่อนจะโดน ขอเข้าข้างก่อนครับ การประกวดวงดนตรีเนี่ย ไม่ได้ประกวดแบบวิ่งแข่ง ไม่มีที่หนึ่ง ไม่มีที่โหล่ แต่เป็นการแข่งแบบสอบในโรงเรียนนั่นแหละ เกิน 80 ก็ได้เหรียญทองทุกวงนั่นแหละ แต่บ้านเรา ชอบเหลือเกิน การเปรียบเทียบว่าใครเก่งกว่ากัน แม้กรรมการจะไม่บอก มันก็เที่ยวไปขุดคุ้ยหา หาไม่ได้ก็เดากันไปเดากันมา แล้วก็ชอบเดาเข้าข้างตัวเอง....ที่จะบอกคือ น้องๆเขาไปแข่งกะใคร คำตอบคือแข่งกับตัวเองครับ มีโอกาสได้เหรียญทองแดงหรือตกรอบเหมือนกัน ฝรั่งเขาไม่เหมือนคนไทยนะ มีร้อยวง ตกรอบทั้งร้อยวงก็ได้ ไม่มีกันที่ 1 2 3 ไว้หรอก ... เรื่องเชิญเนี่ย ฝรั่งเขาถือนะครับ สิทธิ์ส่วนบุคคล เราไม่อยากไปเขาไม่เชิญหรอก ทุกปีเป็นเช่นนี้ อาจมีบ้างที่คณะกรรมการประกวดคุ้นเคยกับโรงเรียนหรือครู ก็เอ่ยปากหรือส่งจดหมายมาบอกว่า เฮ้! เราจะจัดประกวดละนะ ยูจะเข้าประกวดไหม? บางรายการก็ส่งไปตามรายการประกวดในประเทศ ก็เป็นสิ่งถูกต้องที่จะต้องให้โควต้าแชมป์หรือวงที่มีผลงานดีไปแข่ง แบบเดียวกับประกวดนางงามนั่นแหละ แต่ถามว่าแชมป์ต้องไปไหม?...ไม่ต้องก็ได้ครับ....ไม่แชมป์ไปได้ไหม?....ได้ครับ ไม่เคยประกวดยังไปได้เลย มีเงินไปหรือเปล่าเท่านั้นแหละ
ทีนี้ ครูคุมวงเองนั่นแหละ ที่จะบอกเด็ก หรือ ปลูกฝังเด็กอย่างไร...ผมเข้าใจว่าทุกคนไม่ได้ดีทุกด้านรวมทั้งตัวผมเองด้วย แต่ผมอยากบอกว่า ครูเป็นอย่างไรเด็กก็เป็นอย่างนั้น สิ่งที่ผมวิงวอนเพื่อนๆ น้องๆ (พี่ๆบอกไม่ได้) ที่สอนวงดนตรีโรงเรียนทุกคนมาเสมอ และอยากนำเสนอถึงครูวงโยทุกท่าน คือ
1. เด็กไม่ใช่หนูทดลอง
2. พ่อ-แม่ เขาส่งลูกเขามาเรียนหนังสือ
3. มีไม่มากที่อยากให้ลูกเป็นนักดนตรี
4. ความต้องการของตลาดดนตรีมีน้อยมาก
5. ดนตรีมีไว้เล่นกับเพื่อน ไม่ใช่ศัตรู
ดังนั้น อย่าสั่งสอนอะไรที่ยังไม่ได้พิสูจน์ว่าดีต่อตัวเด็กจริงๆ อย่าให้เด็กออกมาจากห้องเรียน อย่ายัดเยียดความเป็นนักดนตรีให้กับเด็กถ้าเขาไม่ต้องการจริงๆ เพราะมันจะจบมาแบบไม่มีงานทำ ที่สำคัญผมจะสอนน้องๆและลูกศิษย์เสมอว่า ชัยชนะจากการประกวดไม่ได้พิสูจน์อะไรเรา เพียงแค่เราซ้อมให้เล่นได้อย่างที่ต้องการ นั่นก็คือชัยชนะอันยิ่งใหญ่กว่าสิ่งใดทั้งมวล เพราะมันคือการเอาชนะใจตนเองได้ขั้นหนึ่ง แล้วถ้าอยากเก่งจริงๆเราต้องมีเพื่อนมากๆ แล้วเราจะสามารถพัฒนาได้หลายรูปแบบกว่าการอยู่ในกะลา ....(จริงๆแล้วเทศนาเรื่องนีได้ทั้งวัน)
ชื่อเสียงเป็นสิ่งที่คนเราต้องมี ความฝันเป็นสิ่งที่เราต้องตามหา เด็กเขาก็มีความฝันของเขา......... อย่าใช้เด็กเป็นเครื่องมือเลยนะครับ .... เราได้สองขั้นหนึ่งที แต่เราทำลายเด็กทั้งชีวิตหรือเปล่า?
กิจกรรมของโรงเรียนเป็นสิ่งที่ควรมีเป็นอย่างยิ่ง แต่เราไม่ควรสุดโต่ง จริงแล้วการวิเคราะห์ผลดี-เสียระบบการศึกษาบ้านเรามีตัวช่วยอย่างดีเลย คือการศึกษาของญี่ปุ่น เราใช้ระบบเดียวกันเปี๊ยบ แต่เขาทำอะไรจริงจัง แปบเดียวเห็นผลละ ดูบอลโลกประไร จะว่าไปเขานำหน้าให้เราดูแล้วว่าอะไรดีไม่ดี ...โรงเรียนญี่ปุ่นเน้นกิจกรรมมาก เด็กทำกิจกรรมกันเอาเป็นเอาตาย ซ้อมเช้าซ้อมบ่าย แต่เวลาเรียนก็จริงจังเหมือนกัน...คนไทยที่ไปครูอยู่ที่นั่นให้ความเห็นกับสื่อว่า ญี่ปุ่นควรลดกิจกรรมลงบ้าง ไทยควรมีกิจกรรมให้เด็กมากกว่านี้...นั่นเพราะกิจกรรมของเด็กนักเรียนญี่ปุ่นมากจากเด็กไม่มีเวลาทำอย่างอื่น คือเรียนแล้วก็ซ้อม มันสร้างคนได้แต่มันก็อาจจะมากไปหน่อย เสาร์-อาทิตย์ไม่ได้หยุดเลย แต่ของไทยก็น้อยไป เน้นไปที่ห้องเรียนจนเด็กทำอะไรไม่เป็น(ดูให้รู้ โรงเรียนมัธยม)
....พ่อ-แม่เขาไว้ใจเขาถึงเอาลูกมาฝากไว้กับเรา หวังว่าเราจะสั่งสอนให้ลูกเป็นคนเก่งเป็นคนดี เขาอยากให้ลูกทำอะไรได้มากกว่าหนึ่ง ไม่ใช่แค่ท่องตำราอย่างเดียว เรา ครูวงโย ก็ช่วยสนับสนุนให้เด็กของเรามีมากกว่าหนึ่งอย่างที่เขาคาดหวัง อย่าฉุดลากให้เขาต้องละทิ้งหน้าที่หลักของเขาเลย ชาติยังต้องการอนาคตของเขาในการสร้างชาติอีกเยอะ ดนตรีทำได้แค่บำบัดจิตใจ เต็มที่ก็แค่สงเสริมการพัฒนา EQ มันให้เด็กไปดาวอังคารไม่ได้หรอก...แค่ซื้อข้าวกินยังลำบากเลย!
จะไม่โพสก็เห็นว่าใครก็รู้กันหมด ทั้งคนในคนนอกวงการ คนไม่ได้เกี่ยวข้องกันการศึกษายังพูดกันเลย ผมเลยเกิดความรู้สึกเหมือนอยู่ตรงกลางยังไงก็ไม่รู้...เอาเป็นว่า นี่เป็นความเห็นส่วนตัวของผมก็แล้วกัน ใครไม่คิดอย่างผมก็อย่าใสใจละกันครับ
สิ่งที่เกิดขึ้น ไม่แปลกเลยสำหรับผม นี่คือมาตรฐานของวงจรนี้ด้วยซ้ำไป วงโยฯบ้านเราก็มีแต่เด็กระดับมัธยมเล่นกัน แล้วก็ชอบได้รับเชิญไปแข่งต่างประเทศ โรงเรียนก็ชอบอนุมัติ หน่วยงานกลางก็ชอบเห็นด้วย แต่คลังมักไม่ชอบจ่ายเงิน!!!
แล้วจะทำยังไง....ผมขออนุญาต "แฉ"เลยละกันว่า ทุกโรงเรียนที่ไปแข่งต่างประเทศ ก็ระดมทุนกันทั้งนั้น จะด้วยวิธีใดเท่านั้นเอง และงบก็ว่ากันเป็นสิบล้านทุกที เด็กๆเองก็ต้องเดือดร้อนออกตังค์ ผมเคยไปมีทีนึง เด็กออกต้งค์คนละ 4 หมื่น มีบางคนไม่มีตังค์ ครูก็เลยต้องเก็บเกินจริงเอาไปถัวกับคนที่ไม่มีตังค์
อย่าว่าแต่ไปต่างประเทศเลย แค่แข่งในประเทศยังขอกันตลอด มีทุกรูปแบบตั้งแต่ขอสนันสนุนจากห้างร้าน ผู้ปกครอง ทอดผ้าป่า หรือ แม้แต่ให้นักเรียนเดินเรี่ยไร...ผมเห็นเด็กเดินขอบริจาคแล้ว ขอบอกว่าน้องๆบางคน เกินค่าตัวจริงๆ ยกมือไหว้ท่วมหัว...พ่อแม่มาเห็นคงน้ำตาไหล
เนี่ย...คือวงจร....วงจร....(เรียกวงจรอุบาทว์ดีไหม?)....วงจรที่ผู้ใหญ่นี่แหละสร้างขึ้น เหตุเพราะค่าใช้จ่ายกิจกรรมนี้มีสูง แต่โรงเรียนไม่มีเงินจ่าย แถมมีค่านิยมเรื่องชื่อเสียงมาสนับสนุนอีก
ผู้ใหญ่ที่ผมจะขอกล่าวถึง คือ ผู้ใหญ่ทางระบบ ไม่ระบุตัวนะครับ...อย่างแรกคือ รัฐ...เรื่องภาษีเครื่องดนตรี ที่ถือว่าเครื่องดนตรีเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ภาษีสูงปรี๊ด จนราคาวงโยฯวงหนึ่งๆว่ากันเป็นหลักสิบล้าน ไม่เคยคิดจะสร้างระบบยกเว้นภาษีให้โรงเรียน แม้แต่โรงเรียนรัฐบาลซื้อเองก็ตาม เครื่องดนตรีรุ่นเดียวกัน บ้านเราขายห้าหมื่น ประเทศต้นทางขายหมื่นเดียว ซื้อเครื่องดนตรีวงนึง สิบล้าน เป็นต้นทุน 2.5ล้าน ภาษีซะ 5 ล้าน เจ๊กบวกไปอีก 30-40 เปอร์เซนต์...นั่นแหละราคา...ลองคิดกันดูขำๆนะครับ ถ้านโยบายรัฐสนับสนุนจริงๆ ก่อนจะหาเงินมาทุ่มให้เป็นสิบ ยี่สิบล้าน การยกเว้นภาษีจะทำให้ราคาจะลดลงไม่น้อยกว่าครึ่ง...ที่ตลกคือ โรงเรียนรัฐก็ใช้งบรัฐซื้อ ซึ่งก็มาจากภาษี....ขำๆ โง่ๆ ก็คือเก็บภาษีเจ็กขายเครื่องดนตรีมาซื้อเครื่องดนตรีเข้าโรงเรียน...แล้วจะคิดภาษีเพื่อ!!!.....???
ผู้ใหญ่ที่สองคือผู้บริหารโรงเรียน คนไม่ทำก็ไม่เอาเลยยย คนจะทำก็บ้าสุดขีด นานๆจะเจอคนที่มองภาพกว้างรวมๆได้ซักคน อย่างอดีต ผอ.โรงเรียนนี้(เนี่ยแหละ)ท่านหนึ่ง อยากให้โรงเรียนมีดนตรี อยากเห็นเด็กซ้อมมีความสุข แถมบล็อคไว้ด้วยว่า "ไม่แข่งนะ" แต่ก็มีแย้มๆว่า ถ้าพร้อมจริงๆค่อยว่ากัน ส่วนเรื่องงบท่านก็บอกว่า ค่อยเป็นค่อยไป มีเงินก็ซื้อ ให้ครูวางแผนยาวๆ....แต่ทว่า ส่วนใหญ่ไม่เป็นแบบนี้ เจอคนบ้าเข้าไป ทุ่มซื้อเครื่องดนตรีเยอะแยะ จ้างครูระดับเทพเจ้ามาสอน ดูดเด็กที่อื่นมาเล่น ทำทุกอย่างเพื่อชัยชนะ ซึ่งโรงเรียนหรือตัวของผู้บริหารหรือครูอาจได้ประโยชน์จากตรงนี้ แล้วเด็กล่ะ ได้อะไร? ให้ซ้อมๆๆๆๆแข่งๆๆๆๆ ชนะ!...แต่ไม่ได้เรียนหนังสือ... อยากจะบอกว่า บางครั้งสิ่งที่ผู้ใหญ่ระดับนี้ทำ มันเหมือนคลื่นสึนามิที่มีผลกระทบระยะยาวไปอีกหลายปี...โรงเรียนเปลี่ยนไป เด็กเปลี่ยนไป วัฒนธรรมเปลี่ยนไป...ท่านได้สร้างอะไรบางอย่างไว้ ซึ่งบางอย่างเด็กไม่น่าจะมี เช่น การทำทุกอย่างเพื่อตนเองและพรรคพวก เช่น การไปดูดคนอื่นมาจากโรงเรียนอื่น เพื่อเสริมสร้างตัวเอง ปล่อยให้วงเดิมของเขาพินาศพนาสูญไป มันเป็นคุณลักษณะจิตใจคับแคบที่ไม่ควรปลูกฝังให้เด็กมิใช่หรือ...
ผู้ใหญ่ที่สามคือ ผู้จัดแข่ง ผมขอไม่เอ่ยไปถึงผู้จัดในต่างประเทศนะครับ เพราะเขาไม่รู้วัฒนธรรมของเราแต่ประการใด ผมเคยเสนอในที่ประชุมประกวดว่า กติกาข้อหนึ่งที่ควรกำหนดไว้ คือ ต้องไม่ใช้เวลาเรียนในการซ้อมอย่างยาวนาน เช่น ไม่เรียนเป็นเทอมๆ เป็นต้น ผลคือ แทบโดนถีบออกจากห้องประชุม เดี๋ยวนี้การประกวดวงโยในบ้านเรามีหลายสนาม ห้วงเวลาก็ไม่ค่อยจะดี เช่น ช่วงเดือนมกราคม เป็นเดือนสอบกลางภาค มีหลายวงเด็กไม่ได้สอบ หลายวงเด็กไปสอบแบบกามั่ว เพราะเข้าค่ายซ้อมยาวตั้งแต่ตุลาคม นอนโรงเรียน เปิดเทอมมาก็ว่าไม่ทัน ต้องงดเรียนซ้อมๆๆๆๆๆ รู้ตัวอีกทีเด็กไม่ได้เรียนมา 2 - 3 เดือนแล้ว
ผู้ใหญ่ที่สี่ คนเนี้ย โดนหนัก...ก่อนจะโดน ขอเข้าข้างก่อนครับ การประกวดวงดนตรีเนี่ย ไม่ได้ประกวดแบบวิ่งแข่ง ไม่มีที่หนึ่ง ไม่มีที่โหล่ แต่เป็นการแข่งแบบสอบในโรงเรียนนั่นแหละ เกิน 80 ก็ได้เหรียญทองทุกวงนั่นแหละ แต่บ้านเรา ชอบเหลือเกิน การเปรียบเทียบว่าใครเก่งกว่ากัน แม้กรรมการจะไม่บอก มันก็เที่ยวไปขุดคุ้ยหา หาไม่ได้ก็เดากันไปเดากันมา แล้วก็ชอบเดาเข้าข้างตัวเอง....ที่จะบอกคือ น้องๆเขาไปแข่งกะใคร คำตอบคือแข่งกับตัวเองครับ มีโอกาสได้เหรียญทองแดงหรือตกรอบเหมือนกัน ฝรั่งเขาไม่เหมือนคนไทยนะ มีร้อยวง ตกรอบทั้งร้อยวงก็ได้ ไม่มีกันที่ 1 2 3 ไว้หรอก ... เรื่องเชิญเนี่ย ฝรั่งเขาถือนะครับ สิทธิ์ส่วนบุคคล เราไม่อยากไปเขาไม่เชิญหรอก ทุกปีเป็นเช่นนี้ อาจมีบ้างที่คณะกรรมการประกวดคุ้นเคยกับโรงเรียนหรือครู ก็เอ่ยปากหรือส่งจดหมายมาบอกว่า เฮ้! เราจะจัดประกวดละนะ ยูจะเข้าประกวดไหม? บางรายการก็ส่งไปตามรายการประกวดในประเทศ ก็เป็นสิ่งถูกต้องที่จะต้องให้โควต้าแชมป์หรือวงที่มีผลงานดีไปแข่ง แบบเดียวกับประกวดนางงามนั่นแหละ แต่ถามว่าแชมป์ต้องไปไหม?...ไม่ต้องก็ได้ครับ....ไม่แชมป์ไปได้ไหม?....ได้ครับ ไม่เคยประกวดยังไปได้เลย มีเงินไปหรือเปล่าเท่านั้นแหละ
ทีนี้ ครูคุมวงเองนั่นแหละ ที่จะบอกเด็ก หรือ ปลูกฝังเด็กอย่างไร...ผมเข้าใจว่าทุกคนไม่ได้ดีทุกด้านรวมทั้งตัวผมเองด้วย แต่ผมอยากบอกว่า ครูเป็นอย่างไรเด็กก็เป็นอย่างนั้น สิ่งที่ผมวิงวอนเพื่อนๆ น้องๆ (พี่ๆบอกไม่ได้) ที่สอนวงดนตรีโรงเรียนทุกคนมาเสมอ และอยากนำเสนอถึงครูวงโยทุกท่าน คือ
1. เด็กไม่ใช่หนูทดลอง
2. พ่อ-แม่ เขาส่งลูกเขามาเรียนหนังสือ
3. มีไม่มากที่อยากให้ลูกเป็นนักดนตรี
4. ความต้องการของตลาดดนตรีมีน้อยมาก
5. ดนตรีมีไว้เล่นกับเพื่อน ไม่ใช่ศัตรู
ดังนั้น อย่าสั่งสอนอะไรที่ยังไม่ได้พิสูจน์ว่าดีต่อตัวเด็กจริงๆ อย่าให้เด็กออกมาจากห้องเรียน อย่ายัดเยียดความเป็นนักดนตรีให้กับเด็กถ้าเขาไม่ต้องการจริงๆ เพราะมันจะจบมาแบบไม่มีงานทำ ที่สำคัญผมจะสอนน้องๆและลูกศิษย์เสมอว่า ชัยชนะจากการประกวดไม่ได้พิสูจน์อะไรเรา เพียงแค่เราซ้อมให้เล่นได้อย่างที่ต้องการ นั่นก็คือชัยชนะอันยิ่งใหญ่กว่าสิ่งใดทั้งมวล เพราะมันคือการเอาชนะใจตนเองได้ขั้นหนึ่ง แล้วถ้าอยากเก่งจริงๆเราต้องมีเพื่อนมากๆ แล้วเราจะสามารถพัฒนาได้หลายรูปแบบกว่าการอยู่ในกะลา ....(จริงๆแล้วเทศนาเรื่องนีได้ทั้งวัน)
ชื่อเสียงเป็นสิ่งที่คนเราต้องมี ความฝันเป็นสิ่งที่เราต้องตามหา เด็กเขาก็มีความฝันของเขา......... อย่าใช้เด็กเป็นเครื่องมือเลยนะครับ .... เราได้สองขั้นหนึ่งที แต่เราทำลายเด็กทั้งชีวิตหรือเปล่า?
กิจกรรมของโรงเรียนเป็นสิ่งที่ควรมีเป็นอย่างยิ่ง แต่เราไม่ควรสุดโต่ง จริงแล้วการวิเคราะห์ผลดี-เสียระบบการศึกษาบ้านเรามีตัวช่วยอย่างดีเลย คือการศึกษาของญี่ปุ่น เราใช้ระบบเดียวกันเปี๊ยบ แต่เขาทำอะไรจริงจัง แปบเดียวเห็นผลละ ดูบอลโลกประไร จะว่าไปเขานำหน้าให้เราดูแล้วว่าอะไรดีไม่ดี ...โรงเรียนญี่ปุ่นเน้นกิจกรรมมาก เด็กทำกิจกรรมกันเอาเป็นเอาตาย ซ้อมเช้าซ้อมบ่าย แต่เวลาเรียนก็จริงจังเหมือนกัน...คนไทยที่ไปครูอยู่ที่นั่นให้ความเห็นกับสื่อว่า ญี่ปุ่นควรลดกิจกรรมลงบ้าง ไทยควรมีกิจกรรมให้เด็กมากกว่านี้...นั่นเพราะกิจกรรมของเด็กนักเรียนญี่ปุ่นมากจากเด็กไม่มีเวลาทำอย่างอื่น คือเรียนแล้วก็ซ้อม มันสร้างคนได้แต่มันก็อาจจะมากไปหน่อย เสาร์-อาทิตย์ไม่ได้หยุดเลย แต่ของไทยก็น้อยไป เน้นไปที่ห้องเรียนจนเด็กทำอะไรไม่เป็น(ดูให้รู้ โรงเรียนมัธยม)
....พ่อ-แม่เขาไว้ใจเขาถึงเอาลูกมาฝากไว้กับเรา หวังว่าเราจะสั่งสอนให้ลูกเป็นคนเก่งเป็นคนดี เขาอยากให้ลูกทำอะไรได้มากกว่าหนึ่ง ไม่ใช่แค่ท่องตำราอย่างเดียว เรา ครูวงโย ก็ช่วยสนับสนุนให้เด็กของเรามีมากกว่าหนึ่งอย่างที่เขาคาดหวัง อย่าฉุดลากให้เขาต้องละทิ้งหน้าที่หลักของเขาเลย ชาติยังต้องการอนาคตของเขาในการสร้างชาติอีกเยอะ ดนตรีทำได้แค่บำบัดจิตใจ เต็มที่ก็แค่สงเสริมการพัฒนา EQ มันให้เด็กไปดาวอังคารไม่ได้หรอก...แค่ซื้อข้าวกินยังลำบากเลย!
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)