วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ถ่ายภาพบันทึกลงคอมทันทีด้วย LIGHTROOM

     หลายคนคงเคยถ่ายภาพแบบสตูดิโอ(จำเป็น) เช่น รับหน้าที่ถ่ายภาพหน้าตรงนักเรียน แล้วก็ต้องทำสตูดิโอแบบตามมีตามเกิด ใช้กล้อง DSLR ถ่ายภาพ แล้วก็มีปัญหาเรื่องการตรวจสอบภาพเพราะ LCD หลังกล้องไม่ดีพอที่จะตรวจสอบรูป บางครั้งต้องเสียเวลาถ่ายภาพใหม่ เห็นเขาถ่ายภาพแบบขึ้นจอคอมแบบทำบัตรประชาชนที่เขต ก็เลยอยากลองทำบ้าง ขอบอกก่อนว่า กล้องที่ผมใช้เป็นนิคอนนะครับ แต่ชาวหนอนคงพอไปประยุกต์ได้ และที่ผมต้องการต่อภาพออกข้างนอกก็เพราะ อยากเห็น live view ใหญ่ๆ สั่งถ่ายภาพผ่านคอมโดยไม่ต้องเสียตังค์ซื้อรีโมท และพอถ่ายแล้วเห็นภาพหน้าจอคอมได้เลย และไฟล์ที่ถ่ายก็อยู่ในคอมเลย ไม่ต้องมานั่งโอนถ่ายไฟล์กันอีก
     โปรแกรมที่ผมพบว่าทำได้คือ Lightroom และโปรแกรมของนิคอนเอง คือ camera control ซึ่งทั้งสองโปรแกรมมีข้อดีข้อเสียคนละอย่างสองอย่าง ต้องเลือกใช้เองครับ
     ใน LR มีฟังก์ชั่นเชื่อมต่อกล้อง โดยเข้าไปที่เมนู File > Tethered Capture > Start Tethered Capture

ตั้งชื่อ Collection และค่าอื่นๆ ตามต้องการ 
เมื่อกด OK แล้ว LR จะทำการ sync กับกล้อง ให้รอสักครู (เท่าที่ผมลอง นานประมาณ 1 นาทีกว่า) ถ้ากล้อง และ LR สนันสนุนซึ่งกันและกัน ที่แถบเครื่องมือก็จะปรากฎชื่อกล้องและค่าที่ตั้งไว้ ก็พร้อมถ่ายภาพแล้ว
จะเห็นว่าของผมไม่มีชื่อกล้องขึ้น เพราะ LR ที่ใช้เป็น 3.3 ไม่ support กล้อง D7000 เนื่องจาก D7000 ไม่มีคำสั่งที่กล้องเรื่องการเชื่อมต่อ USB และ D7000 เมื่อเสียบ USB แล้ว จะไม่เห็นเป็น storage เหมือนกล้องรุ่นอื่น จะเห็นเป็น Device อุปกรณ์หนึ่ง ดังนั้นต้องหา LR เวอร์ชั่นที่รองรับ เช่น 3.4(เขาว่ากันอย่างนั้น) ขึ้นไป หรือ เวอร์ชั้น 4 ก็ได้ แต่ผมลองกับ 3.6 เครื่องที่บ้านทำงานได้ดี 
     ข้อดีของการใช้ Tethered capture ของ LR คือ ภาพจะถูกบันทึกไปที่ Folder ที่เราตั้งไว้ และ LR ก็จะ Import ภาพมาให้อัตโนมัติในทันที  ข้อเสียคือ การถ่ายภาพต้องมองที่ช่องมองภาพของตัวกล้อง LV จะถูกตัดการทำงานเมื่อเสียบ USB และ LR เอง ก็ไม่มี LV ให้ดู ข้อเสียอีกประการคือ ในเมื่อต้องมองช่องมองภาพเพื่อถ่ายภาพ สาย USB นี่ช่่างเกะกะเสียนี่กระไร...ไฟดูดอีกต่างหาก!!...จื๊ดๆ..



วันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2555

มาใช้ Google Drive กันดีกว่า

   
     Google คือ search engine ชื่อดังบนโลกอินเทอร์เน็ต ...ใครก็รู้...แล้วมีแค่นั้นหรือ???....ไม่ครับ ไม่ได้มีแค่นั้น สำหรับผม Google เป็น"ของฟรี" อันยิ่งใหญ่ที่เราจะสามารถหาได้ในโลกอินเทอร์เน็ต
 
     เชื่อหรือไม่ ผมไม่มี Flash drive เป็นของตัวเองมานานกว่า 6 ปีแล้ว แต่ผมก็สามารถโอนย้ายถ่ายข้อมูลของผมไปได้ทุกที่  อุปกรณ์เก็บข้อมูลของผมมีแค่ SD card 2 แผ่นในกล้องถ่ายรูปของผม micro SD ที่อยู่ในโทรศัพท์ขนาด 2 GB แล้วก็ ext.harddisk 500 GB 1 ตัว ซึ่งผมสงวนไว้เก็บภาพจากกล้องเท่านั้น ... แล้วผมย้ายข้อมูลได้อย่างไร? คำตอบคือ ผมใช้เครือข่ายครับ ผม share ข้อมูลในเครือข่ายในที่ทำงาน และสมัครใช้ Google นี่แหละครับ

     บริการของ "กู" มีมากมาย ได้แก่ E-mail ที่เรียกกันว่า GMail ,แผนที่ ,ปฏิทิน ,อัลบัมภาพถ่าย และ Google drive พระเอกของผม

     Google Drive เป็นบริการเก็บข้อมูลบนเครือข่าย internet ที่ให้พื้นที่ฟรีๆ 5 GB มากมายเหลือเฟือสำหรับงานเอกสารทั่วไป ถ้างานของคุณไม่ใช่ภาพยนตร์ระดับ HD ล่ะก็ ขอบอกว่า "ทิ้ง flash drive ไปเถอะครับ"

     ก่อนที่คุณจะใช้ "ไดรว์กู"ได้ คุณก็เพียงสมัคร GMail ให้เรียบร้อย คุณก็จะได้สิทธิ์ในบริการฟรีมากมายของ"กู" โดยไม่ต้องสมัครเพิ่ม  และเมื่อสมัครแล้ว ก็พิมพ์ในช่อง URL ว่า www.google.co.th แล้วทำการ Login โดยใช้ username และ password ตามที่คุณสมัคร GMail ไว้ พอกอปุ่ม Login คุณก็จะเห็นหน้า search ตามปกติ...แต่ลองสังเกตุให้ดี บริเวณมุมขวาบน คุณจะเห็นชื่อ mail ของคุณในแถบสี

     แถบสีด้านบน จะเห็นเมนูต่างๆ เรียงแถวอยู่  ลองคลิ๊กไปตรงคำว่า "ไดรว์" หรือ "Drive"ในภาษาอังกฤษ...หน้าเพจของคุณจะเปลี่ยนไปที่ Google Drive และพร้อมใช้งานแล้ว



   ปุ่มทางซ้ายมือ คือปุ่มสำหรับ upload ข้อมูลของคุณไปเก็บไว้ที่ Google drive เพียงกดปุ่มรูป harddisk แล้วเลือกแฟ้มข้อมูลจากในเครื่องของคุณ ทำการ"ตกลง" กับ google เสียทุกอย่าง ยกเว้นเรื่องการเปลี่ยนรูปแบบไฟล์ให้เป็นรูปแบบ "เอกสาร Google" ... จัดการ upload เสีย กำหนดให้แฟ้มนั้นเป็น "ส่วนตัว" หากจะเก็บไว้ใช้คนเดียว หรือ กำหนดเป็น "สาธารณะ"เพื่อเผยแพร่(ทั้งโลก)แก่ผู้อื่น...ออก และ Logout จาก Google ปิดเครื่องที่บ้าน ไปเปิดเครื่องที่ทำงาน Login เข้า"กู" เข้า "ไดรว์กู" ติ๊กเครื่องหมายถูก กดปุ่ม"เพิ่มเติม" เลือก Download เซฟลงเครื่องที่ทำงาน ทำงานต่อ รอรับสองขั้น ไม่ต้องปวดหัวกับ flash drive ไม่ว่าจะเป็นการลืม หาย เพื่อนยืม ฯลฯ ที่สำคัญ ปลอดไวรัส...

     ข้อเสียอย่างเดียวของระบบนี้คือ คุณต้อง Online ได้ทั้งที่บ้านและที่ทำงาน ผมแนะนำว่า ถ้าจะซื้อโทรศัพท์ ควรซื้อ smart phone มาใช้ซะ!  ไฮโซก็กด iphone ยากจนก็กัดฟัน android 4-5 พัน ซักเครื่อง ซื้อโปรเน็ตเล็กๆไว้เผื่อเน็ตที่ทำงานล่ม Download ลงโทรศัพท์ ต่อสาย(จำเป็นนี่นา)เข้าคอมก็ทำงานได้ (จริงๆมีวิธีโอนไฟล์เข้าคอมฯโดยไม่ต้องเสียบสายโดยใช้ app แต่ต้องมี wi-fi)

ความรู้เกี่ยวกับคอมฯ: SERVER คืออะไร(แบบภาษาชาวบ้าน)

     เราคงเคยได้ยินคำว่า server(อ่านว่า เซิฟเวอร์)อยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานหรือเล่นเกมส์ เรามักโทษการที่เข้าอินเตอร์เน็ตไม่ได้ว่า "server ล่ม" ... แล้ว server จริงๆคืออะไร? ทำไมต้องเรียกserver? มีserverไว้ทำไม?

     คำว่า server แปลว่า ผู้ให้บริการ...เราใช้เรียกเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่ให้บริการบางอย่างในระบบเครือข่าย ซึ่งอันที่จริงแล้ว server มีหลายประเภทหลายชนิด แต่เรามักเรียกรวมๆว่า server

     server ที่เราคุ้นเคยกันมาตั้งแต่อดีตคือ File server คือ server ที่ให้บริการแฟ้มข้อมูลซึ่งมักเก็บแฟ้มข้อมูลในการทำงานไว้ที่ server เพื่อให้ผู้ใช้ในองค์กร(ซึ่งมีมากกว่า 1 คน) สามารถเข้าถึงแฟ้มข้อมูลที่ต้องการได้อย่างทันทีและเป็นปัจจุบัน  ในยุคปัจจุบัน server ที่มีจำนวนมากในโลกคือ web server ซึ่งก็คือ server ที่คอยให้บริการข้อมูลผ่านทางเครือข่ายอินเตอร์เน็ตซึ่งเราจะเห็นในรูปแบบต่าง เช่น หน้า web page ของหน่วยงานต่างๆเป็นต้น ในทางความเป็นจริงในเรื่องของการวางระบบเครือข่ายไม่ว่าขนาดใด จำเป็นต้องมี server มากกว่า 1 ชนิดในการให้บริการข้อมูล แต่โดยหลักการสำคัญก็คือ server จะเป็นศูนย์กลางในการให้บริการทรัพยากรต่างๆในเครือข่ายให้แก่ผู้ใช้ในระบบเมื่อร้องขอ

     คำว่า server เป็นคำที่ใช้เรียกส่วนประกอบคอมพิวเตอร์ที่มาทำงานร่วมกัน 2 สิ่ง คือ ตัวเครื่องคอมพิวเตอร์ และโปรแกรมระบบปฏิบัติการ ซึ่งทั้งสองอย่างมักถูกสร้างมาเพื่อใช้ในการเป็น  server โดยเฉพาะ

     เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้เป็น server อาจต้องมีประสิทธิภาพสูงหรือประสิทธิภาพธรรมดาเหมือนเครื่องตามบ้านก็ได้ ขึ้นอยู่กับการใช้งานด้านใด และมากน้อยเพียงใด  หลายคนอาจเข้าใจว่า server คือเครื่องคอมพิวเตอร์วิเศษสุดและมีประสิทธิสูงจนบางคนฝันอยากจะซื้อไปเล่นเกมส์แรงๆ ซึ่งในทางความเป็นจริง server เป็นแค่คอมพิวเตอร์ที่มีแค่ความอดทนสูง และมีความเร็วเฉพาะบางเรื่องเท่านั้น ซึ่งโดยทั่วไปผู้ดูแลระบบมักเลือก spec. ด้านใดด้านหนึ่งเท่าที่จำเป็นเพื่อลดค่าใช้จ่าย

     จุดมุ่งหมายของ server มีความชัดเจนเฉพาะด้านคือจะต้องสามารถทำงานได้ตลอด 24 ชม. 7 วันต่อสัปดาห์ได้โดยไม่หยุด และต้องสามารถปกป้องข้อมูลของผู้ใช้ให้ปลอดภัยที่สุด นั่นคือต้นเหตุทำให้ server มีราคาค่าตัวสูงกว่าคอมพิวเตอร์ตามบ้านทั่วไป เนื่องจากอุปกรณ์ต่างๆภายใน server ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้งานในลักษณะดังกล่าวโดยเฉพาะ คือ ทนทาน!! ชิ้นส่วนจึงต้องใช้วัสดุคุณภาพสูงกว่าปกติจึงทำให้ราคาสูงขึ้นตาม

     เหตุที่อุปกรณ์ server มีราคแพงเพราะเน้นความรวดเร็ว แม่นยำ และทนทาน เช่น Harddisk ของ server โดยเฉพาะจะเป็นชนิด SCSi หรือเรียกกันติดปากว่า สกัสซี่ มีราคาแพงกว่า Harddisk ทั่วไปประมาณ 4 เท่า เนื่องจาก Harddisk ชนิดนี้จะมีความเร็วเบื้องต้น(ในทางทฤษฎี)มากกว่า Harddisk ตามบ้านมากกว่า 2 เท่า เพราะ Harddisk ชนิดนี้สามารถอ่านและเขียนได้ในเวลาเดียวกัน ซึ่งต่างจาก Harddisk ATA ทั่วไปที่ต้องทำทีละอย่างสลับกันไป

     การใช้งาน server ก็แตกต่างจากการใช้งานคอมพิวเตอร์ทั่วไป คือ server มักจะไม่ถูกใช้งานผ่านหน้าเครื่องยกเว้นกรณีซ่อมบำรุง หรือ ติดตั้งโปรแกรมบางอย่างที่ใช้งานบน server เพราะการใช้งานหน้าเครื่องมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย เช่น อาจติดไวรัสจากแฟลชไดรว์ หรือ อาจทำให้โปรแกรมหลักของ server เสียหายโดยไม่ตั้งใจ เป็นต้น

     โปรแกรมที่ติดตั้งบน server ก็ไม่ใช่อันเดียวกันกับคอมพิวเตอร์ตามบ้าน หากเป็นตระกูล Windows เราก็จะเห็น  Windows XP หรือ Windows 7 ในเครื่องตามบ้าน หากเป็น server ก็จะใช้ Windows 200X server เป็นต้น หรือ บางกรณีอาจใช้ Linux แทน หรือ อาจเป็น Unix ในระบบใหญ่ๆ เช่น ธนาคาร เป็นต้น ซึ่ง"โปรแกรม"ที่อยู่บน server นอกจากจะเป็นโปรแกรมจัดการระบบ OS แล้ว ยังมีความสามารถในการให้บริการ และควบคุมเครื่องในเครือข่ายได้อีกด้วย

     Windows Server 2008 R2 เป็น server OS ที่ได้รับการกล่าวถึงมากในตอนนี้ เนื่องจากมีความสามารถมากมาย สามารถให้บริการได้หลายประเภทในเวลาเดียวกันโดยไม่ซื้อโปรแกรมเพิ่ม ที่สำคัญ windows server 2008 R2 ตัวนี้ สามารถควบคุมผู้ใช้ได้ครอบคลุมทุกกรณีไม่ว่าจะย้ายไปทำงานที่เครื่องใด ที่"เจ็บ"ก็คือ สามารถควบคุมเครื่องในเครือข่ายได้โดยไม่ต้องไปจัดการที่เครื่องลูกข่ายเลย กำหนดสิทธิ์การเข้าถึงอุปกรณ์ของเครื่องลูกข่ายได้ ไม่ว่าจะเป็น มองไม่เห็นไดร์วC ไม่สามารถใช้แฟลชไดร์วได้ มองไเห็นหรือม่เห็นคอนโทรลใดๆ กำหนดเวลาในการเข้าถึงเครือข่าย(LAN) หรือ อินเทอร์เน็ตได้เป็นเวลา จนถึงกำหนดหน้าจอเครื่องว่าจะให้ใช้แบคกราวด์แบบใดยังได้เลย

     ความสามารถที่กล่าวมาข้างต้น ผู้คิดค้นทำขึ้นมาก็เพื่อความปลอดภัยของข้อมูลในเครือข่าย เพราะการเข้าถึงเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องใดเครื่องหนึ่งในเครือข่ายก็คือมองเห็นประตูทางเข้าสำนักงานอยู่ตรงหน้าแล้วแต่ไม่มีบัตรผ่านเท่านั้นเอง ถ้าเป็นโจรก็คือรอยามเผลอเท่านั้นเอง ความปลอดภัยที่เหนือกว่านั้นคือ"ซ่อน" ทางเข้าไม่ให้ใครรู้ หรือ "ล๊อค"ทางเข้าไว้เสมอ ซึ่งความปลอดภัยของข้อมูลในเครือข่ายขึ้นอยู่กับผู้ใช้งานทุกระดับที่ต้องช่วยกันระวัง อันได้แก่

1. ตั้ง Password ทุกเครื่อง และต้อง Log Out ออกเสมอเมื่อเลิกใช้งาน
2. เปลี่ยน Password บ่อยๆ  และไม่ควรจด password ไว้ในกระดาษ รวมถึงไม่ควรบอก password ผู้อื่นไม่ว่ากรณีใด
3. ตั้ง User บนเครื่องให้ใช้ของใครของคนนั้น ต่อให้เป็นเครื่องที่ไม่ได้ต่อ network ก็เถอะ และไม่ควรทำ Auto Log on
4. ทำตัวให้เลิกกลัวระบบ network - อินเทอร์เน็ต และเรียนรู้มัน  "หัด" share ข้อมูลในเครือข่าย และควบคุมข้อมูลของคุณ
5. ควรกำหนดให้เครื่องของคุณเป็นสมาชิกของโดเมนหากทำได้ โดยการติดต่อผู้ดูแลระบบของคุณ เพราะการเป็นสมาชิกโดเมนจะได้รับการคุ้มครองโดย server โดยตรง
6. หลีกเลี่ยงการ Log on โดยใช้ use name ว่า administrator และควร Log on โดยใช้ user name ที่มีสิทธิ์น้อยที่สุดที่คุณมี
7. ปิด user name ที่ชื่อว่า Guest เพื่อป้องกันคนแปลกหน้ามาใช้เครื่อง
8. ถ้าเครื่องนั้นมีคนใช้ร่วมกับคุณ พยายามอย่าเก็บข้อมูลของคุณไว้ที่อื่นนอกจาก My Document ของคุณ เพราะ My Document จะไม่สามารถมองเห็นได้โดยผู้ใช้อื่น แต่ถ้าคุณเก็บข้อมูลไว้ที่ไดรว์ D ทุกคนจะสามารถเข้าถึงมันได้โดยอิสระจากหน้าเครื่อง
9. สำหรับผู้ติดตั้ง windows เอง ควรกำหนด password ตอนติดตั้งให้แข็งแรง อย่าใช้เบอร์โทร หรือแม้แต่เลขประจำตัวประชาชนของคุณ
10. หลีกเลี่ยงการใช้แฟลช์ไดรว์โดยไม่จำเป็น เพราะไวรัสเก่งกว่าที่คิด ส่วนที่แม้แต่ admin ยังแก้ไขไม่ได้ง่ายๆ แต่ไวรัสสามารถแก้ไขได้เฉยเลย แม้คุณจะใช้ username ที่มีสิทธิ์น้อยที่สุดก็ตาม ควรหันไปแชร์ข้อมูลผ่านทางเครือข่ายแทน
11. ล๊อคห้องทำงานของคุณเสมอถ้าทำได้ และยิ่งมีความจำเป็นมากหากห้องของคุณมี server ตั้งอยู่ เครื่องคอมพิวเตอร์หากสามารถล๊อคกุญแจเคสได้ก็จะดีมาก
12. ข้อสำคัญ อย่าทำงานสำนักงานที่หน้าเครื่อง server โดยเด็ดขาด เพราะคุณอาจเป็นผู้ทำ server"ล่ม"

     เมื่อทำได้ทั้ง 12 ข้อแล้ว ที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้ดูแลระบบ ข้อมูลของคุณก็จะปลอกภัย 100% ที่สำคัญคือ ผู้ที่มี server อยู่ในครอบครอง ควรใช้ server ให้เกิดประโยชน์ และถูกหน้าที่ของมัน อย่าไปเสียเงินมากมายเพื่อเอา server มา"ยำ"เละ ลดระดับลงมาเป็นเครื่องธรรมดาบ้านๆ เสียดายเงินครับ...

วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

การปฏิรูปการศึกษาในสายตา"คนอื่น"

     2 สัปดาห์นี้ผมต้องวนเวียนไปอบรมที่ต่างๆหลายวัน เรื่องที่อบรมก็เป็นหัวข้อต่างๆกันไป แต่ที่น่าสังเกตุคือ ไม่ว่าจะไปอบรมเรื่องใด นักวิชาการก็มักพูดถึงกระบวนการ หรือ แนวทางการปฏิรูปการศึกษาที่ประเทศไทยกำลังดำเนินอยู่ และมักโยงไปถึงการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558  ผมได้มีโอกาสฟังวิทยากรบรรยายทั้งสิ้น 4 คน ทั้งหมดพูดเรื่องการศึกษาด้วยวิธีการต่างๆกัน ตลอดจนการมองการศึกษาและแนวทางการปฏิรูปการศึกษาที่ต่างกัน แต่...นักวิชาการที่ผมได้มีโอกาสฟังบรรยายในช่วงนี้ ไม่ใช่นักวิชาการศึกษาที่มาจากหน่วยงานบริหารการศึกษาอย่างที่เคยผ่านมา ผมต้องแปลกใจที่ผู้บรรยาย 2 ใน 4 เป็นนักรัฐศาสตร์ อีก 1 คน เป็นผู้เชี่ยวชาญการศึกษาแต่ก็ไม่ได้เป็นนักการศึกษามาตั้งแต่แรก(มาเป็นตอนเรียน ป.เอก) ด้วยความที่เป็น ดร. คำพูดคนพวกนี้จึงมีน้ำหนักในสังคม คนอย่างผม ป.ตรี ธรรมดา พูดอะไรก็ผิดไปหมด คิดอะไรแปลกว่าคนอื่นเขาก็ว่าบ้า ไม่เหมือนคนเป็น ดร. คิดอะไรแปลกๆ คนจะบอกว่า"คิดต่าง"..เออ ดี
     ผมต้องเอาเรื่องอบรมมาโพลต์บล็อคเพราะว่ามีเหตุผล 3 ประการคือ
     1.ผมอยากเล่าให้ฟังว่า"คนนอก"ระบบการศึกษาเขามองเราซึ่งเป็น"คนใน"อย่างไร
     2.ผมรู้แล้วว่าผมไม่ได้คิดไปเอง(อยู่คนเดียว)ว่าระบบการศึกษาของไทยอยู่ในวังวนของทางตัน
     3.ผมอยากเผยแพร่ความรู้ของคนรัฐศาสตร์ เผื่อจะมีประโยชน์กับนักการศึกษาบ้าง
     แต่....ผมไม่รู้จะเขียนยังไงให้เข้าใจได้ เพราะเรื่องมัน"เยอะ" เอาเป็นว่าผมขอวิจารณ์บ้าง ยกคำบรรยายบ้างแล้วกัน เหยียบเท้าใครก็ขออภัยด้วย ผมไม่ได้มีเจตนาจะว่ากล่าวผู้ใดหรือฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดครับ

     เริ่มต้นที่ "ทฤษฎีของการทำวิจัย"...ผมเพิ่งเคยได้ยินเรื่อง method กับ methodology ซึ่งฟังดูแปลดูเผินๆ จะพบว่ามีความหมายซ้ำซ้อนกัน แต่ในทางการวิจัย 2 คำนี้เป็นคนละเรื่องกันเลย วิทยากรบ่นให้ฟังว่า เวลาสอนวิจัยให้นักศึกษา ป.โท ส่วนมากจะไม่เข้าใจเรื่องนี้กันทั้งนั้น มีส่วนน้อยที่เข้าใจ แล้วก็ทำผิด แม้ว่าอาจารย์จะพยายามเน้นแล้วแต่นักศึกษามัก"พยายามไม่เข้าใจ" แล้ววิทยากรก็พูดเบาๆข้างไมค์ว่า คนที่มาเรียน ป.โท ส่วนมากมาจาก ครู อันดับ1 ตำรวจ อันดับ2 "....ไอ้พวกเนี้ย เข้าใจอะไรยาก เพราะปกติอยู่ที่ทำงานมันเก่งกว่าคนอื่นโดยอาชีพ ไม่ค่อยจะชอบฟัง..." โดนไป 1 ดอก!!!
     เรื่องต่อเนื่องจากข้างบน คือเรื่องทฤษฎีของการทำวิจัย หนึ่งในทฤษฎีแปลก(สำหรับผม) คือ ทฤษฎีปทัสถาน  ผมขอยอมรับว่าผมไม่เคยได้ยิน คนเรียน ป.โท คงเข้าใจกันหมดแล้ว ทฤษฎีนี้คือว่าด้วยเรื่องการอธิบายว่า"สิ่งใดสมควร" เรื่องใดดีกว่า เรื่องใดควรทำก่อน หรือ วิธีการหรือสิ่งใดที่เหมาะสมกับสภาพสังคมในภาวะปัจจุบัน เป็นต้น ซึ่งเป็นคุณสมบัติของผู้บริหาร(จึงมีเรียนในคณะรัฐประสานศาสตร์ เพราะพวกนี้เกี่ยวข้องกับนักการเมือง) ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้จะถูกหล่อหลอมมาจาก Socialization agent เช่น ครอบครัว โรงเรียน เพื่อน ฯลฯ จนเป็นผู้ที่มีโลกทัศน์ มุมมอง วิธีคิด เป็นของตนเองไม่เหมือนคนอื่น เช่น ครู ก. คิดว่าควรรับเด็กที่มีผลการเรียนดี มีความสามารถสูงเข้ามาสอน เพราะสามารถประสบความสำเร็จและสร้างชื่อเสียงให้โรงเรียนได้  ส่วน ครู ข. คิดว่า ควรรับเด็กที่มีความสามารถน้อย-ปานกลางมาสอนให้พอจบได้ มีงานทำในอนาคต โดยไม่สนชื่อเสียงและความสำเร็จสูงๆ....ครูคนหนึ่งอาจรู้สึกอนาจต่อการทำงานทำงานของอีกคนหนึ่ง ในขณะที่อีกคนหนี่งอาจสังเวชใจความคิดของอีกผู้หนึ่ง ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่ถูกปลูกฟังมาอย่างแตกต่างกันทั้งสิ้น หากจะเรียกแบบชาวบ้านเราคงเรียกว่า"สันดาน"...วิทยากรนอกเรื่องว่า สิ่งนี้จะถูกปลูกฝังเรียนรู้อยู่ประมาณ 30 ปี แล้วจะเปลี่ยนไม่ได้หรือเปลี่ยนยาก แต่ทฤษฎีปทัสถานนี้ไม่มีถูกไม่มีผิด มีแต่เหมาะสมหรือไม่ เช่น สังคมส่วนใหญ่เห็นว่าสิ่งใดถูกต้อง ปทัสถานของคนส่วนน้อยก็จะเสียเปรียบ... 
     ที่ผมยกคำบรรยายของวิทยากรมาซะยืดยาวก็เพราะว่าคำบรรยายหลายๆส่วน (โดยเฉพาะเวลาบรรยายนอกเรื่อง) มันโดนการศึกษาของเรา...อย่าลืมว่า วิทยากรคราวนี้ไม่ใช่นักศึกษาในระบบที่เราคุ้นเคย เขาเป็นคนนอก คำพูดทุกคำจึงเป็นลักษณะการมองจากคนข้างนอก... ถามว่าโดนอย่างไร?...
     เมื่อวันเสาร์ ครูทุกคนได้ไปฟังบรรยายโดยคนนอก(อีกแล้ว) แม้จะมี ป.เอกเป็นนักการศึกษา แต่ก็ไม่ได้เป็นมาตั้งแต่ ป.ตรี ไม่มีวุฒิครูด้วยซ้ำไป...วิทยากรชอบใช้คำว่า "ผมไม่เข้าใจ" "อันตราย" ในการบรรยายตลอด เนื้อหาที่บรรยายก็อยู่ในแนวต่อต้านระบบการศึกษาในปัจจุบันอย่างรุนแรง คือไม่เห็นอะไรดีเลยในระบบการศึกษาปัจจุบัน ผมขอวิเคราะห์เป็นบางเรื่องครับ

     เรื่องลูกเสือ....จะมีไปทำไม?  
     จริงๆผมก็ไม่เข้าใจอย่างวิทยากรว่าแหละครับ ที่ว่าลูกเสือเป็นกิจกรรมเสรีไม่ใช่บังคับ ผมก็ว่าจริง แต่...วิชาลูกเสือในโรงเรียนมีเรียนเพื่อเน้นการฝึกระเบียบให้เด็ก คำว่า"ระเบียบ" คือ ยืนตรงเป็น เข้าแถวเป็น ทำความเคารพเป็น ซึ่งเป็นพื้นฐานของสังคมและพัฒนาไปสู่ความมี"วินัย"...แล้วถามว่า ถ้าเด็กไม่เรียนลูกเสือ แล้ววิชาอะไรจะสอน"ระเบียบ"เด็ก แล้วพอโตไปกลายเป็นคนไม่มีระเบียบไม่มีวินัย สังคมจะโทษใคร...คงไม่ใช่ครู/โรงเรียน/ระบบการศึกษานะ.......มองย้อนบ้าง...ตอนนี้เวลาโรงเรียนสอนลูกเสือ โรงเรียนสอนอะไร สอนแล้วมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด นำไปใช้ได้แค่ไหน....และควรมีหรือไม่ควรมี?...ความ"เฮงซวย"ของการมีวิชาลูกเสือคืออะไร "ไร้สาระ" หรือ "ไร้ประสิทธิภาพ"

     เรื่อง O-net มาตรฐานการศึกษา
     ผมเป็นคนหนึ่งล่ะที่ต่อต้านระบบ O-net เพราะอะไร?  เพราะผมเป็นครูกลุ่มสาระศิลปะ(อิอิ) เป็นกลุ่มวิชาที่เด็กเดินเข้ามาก็คาดไว้แล้วว่าจะได้ 4 ไม่ว่าจะเรียนหรือไม่   ผู้บริหาร ผู้ปกครอง ก็มองว่าวิชากลุ่มนี้ไม่สำคัญ ไม่ควรให้เกรดต่ำจนเป็นวัฒนธรรมที่กลุ่มวิชานี้ให้เด็กตกไม่ได้ ให้เกรด 1 เกรด 2 ยังโดนตำหนิ....กลุ่มสาระนี้โดนชัดเจนเวลาให้เกรดต่ำ เวลาเกรดคณิต วิทย์ ตก พ่อ-แม่ที่ชอบมีปัญหาจะถามว่า "ลูกทำไม่ได้เลยหรือ จึงตก" แต่พอวิชากลุ่มศิลปะจะถามว่า"ลูกส่งงานครบแล้วทำไมไม่ได้ 4" ซึ่งเห็นชัดว่า ผลงานเด็กจะดีหรือไม่ดี จะต้องไม่มีผลต่อคะแนน พูดง่ายๆ ครูตรวจงานว่าส่งหรือไม่ส่งได้อย่างเดียว วาดรูปสวยไม่สวยไม่เกี่ยว! เมื่อเป็นเช่นนี้ เด็กจึงไม่ใส่ใจจะเรียนวิชานี้ให้มีประสิทธิภาพ เพราะเรียนยังไงก็4...พอต้องสอบ O-net เด็กจึงไม่มีความรู้...จริงๆแล้วเด็กไม่ได้อ่านโจทย์ด้วยซ้ำไป... แต่เดี๋ยวก่อน วิทยากรที่มาอบรมให้เราไม่ได้มองปัญหา O-net แบบนั้น ปัญหาของท่าน ดร. คือ ข้อสอบ O-net มากกว่า 50% เป็นข้อสอบท่องจำ ที่สำคัญข้อสอบหลายข้อเป็นการวัดความรู้ที่ไม่ใช่ความรู้ถาวร คือ "มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นตลอดไป" เช่น มีข้อสอบถามว่า ดาวเทียมสื่อสารดวงล่าสุดชื่ออะไร?...ผมฟังแล้วขำเลย เพราะตอนเด็กผมโดนมาแล้วกับข้อสอบที่ถามว่านายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันชื่ออะไร...ตอนเรียนก็เป็นคนหนึ่ง พอถึงวันสอบมีพระบรมราชโองการแต่ตั้งนายกใหม่พอดี(แต่เป็นคนที่เคยเป็นมาแล้ว) แล้วดันมีชื่ออยู่ในตัวเลือกทั้งสองคน...จะเอาคนที่ฟังข่าวเมื่อเช้าหรือจะเอาคนที่เรียนมา...แล้วครูจะเฉลยว่าอะไร?..ฮา...
     มองย้อนไปย้อนมา...มี O-net... ทั้งที่วิทยากรอบรมการสอนชอบบอกว่า สอนตามศักยภาพเด็กอ่อนจาก 0 เป็น 1 เด็กเก่งให้สอนจาก 10 เป็น 100 (แล้ว ึงจะมีหลักสูตรแกนกลางไว้หาเี้ยอะไร) แต่พอเฉลี่ย O-net ออกมาต่ำกว่าเส้นก็ว่ากันตำหนิกัน ผมบ่นหลายครั้งแล้ว...เท่านั้นยังไม่พอ O-net ยังมีความคาดหวังให้มีการพัฒนาขึ้นทุกปี ใครจะทำได้(วะ)  แต่ถ้าไม่มี O-net โรงเรียนสอนเองสอบเองออกเกรดเอง มันก็ไม่มีมาตรฐานอะไรมากำหนดเปรียบเทียบเลย โรงเรียนก็ว่าเองเออเอง แถมการศึกษาก็เรื่อยเฉื่อยเพราะไม่มีการประเมิน ...O-net ไม่ดี หรือว่า อะไรไม่ดี เด็กถึงตก O-net ทำไมโรงเรียนต้องกลัว O-net ...ถ้า O-net ดีจริง ทำไมไม่ใช้เป็นข้อสอบกลางโรงเรียนไม่ต้องออกข้อสอบ??....แต่ที่แน่ๆ ผมว่าการใช้ผล O-net มาประเมินโรงเรียนหรือความดีความชอบของครูมันเป็นความงี่เง่าอย่างที่สุด  ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงครู/ผุ้บริหารโรงเรียนดังๆคงได้ปีละ 5 ขั้นแน่ๆ โรงเรียนชั้นสองคงกินปีละขั้นไปทั้งชาติ โดยเฉพาะครูศิลปะ ดนตรี นาฏศิลป์ พละ ไม่ต้องหวังเลย ไม่แป๊กก็บุญหนักหนาแล้วววว...

     เรื่องนักเรียนโบราณใส่ชุดนักเรียน
     ผมรอเรื่องนี้มาตั้งแต่เป็นนักเรียน "เมื่อไหร่จะเลิกแต่งชุดนักเรียนซะที" ซึ่งขณะนี้ก็ยังรออยู่ แล้วผมก็บ่นแบบนี้บ่อยมากช่วงหน้าหนาว ก็ลองคิดดูละกัน ต่างจังหวัดเช้ามาอุณหภูมิแถวๆ 10 องศา.ลมก็แรง ใส่กางเกงขาสั้นไปโรงเรียน...กูจะบ้าตายคนคิดชุดนักเรียนนี่มันเอาอวัยวะส่วนไหนคิดแบบ...ผมก็คิดในใจว่าเด็กผู้หญิงคงหนาวตูดกันน่าดู(ได้แค่คิดน่ะ โรงเรียนผมเป็นโรงเรียนประจำชายล้วนครับ) ผมก็อยากรู้เหมือนกัน ว่าถ้าเกิดมีโรงเรียนไหนให้เด็กใส่ชุดอะไรก็ได้มาโรงเรียน เด็กมันจะแก้ผ้ามาโรงเรียนเลยหรือเปล่า?...แล้วถ้า"ชุดสุภาพ" มันจะไม่เรียนหนังสือไม่ได้ใช่ไหม?...ผมชอบจริงๆที่วิทยากรบอกว่า "ห้องเรียนคือที่พบกันของคนสองกลุ่ม คือ กลุ่มไม่อยากเรียนกับกลุ่มไม่อยากสอน" เออ มันก็จริงนะ...ทีโรงเรียนกวดวิชาเด็กแต่งหล่อแต่งสวยไปเรียน เห็นมันอยากไปกันจัง เพราะอะไร?...ผมว่าผลการเรียนมันไม่ได้อยู่ที่เครื่องแบบ ก็จริงอยู่ถ้าจะย้อนว่าแต่งชุดนักเรียนก็ไม่ได้ทำให้โง่ลง แต่การบังคับ...โดยเฉพาะการบังคับที่"ลืม"เหตุผลกันไปแล้ว โลกวิวัฒน์ไปแล้วแต่ยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่บอกว่าชุดนักเรียนคือระเบียบ มันเป็นการลดทอนนนน...อะไรหลายๆอย่างของเด็กลง อย่างน้อยๆคนที่มีปัญหากับชุดนักเรียน ซึ่งอาจบ้านจน ฯลฯ ก็ต้องมาทุกข์ใจกับเรื่องนี้พอๆกับเด็กดื้อที่ต้องคอยทะเลาะกับครูปกครองนั่นแหละ
     เดี๋ยว...ก่อนนักเรียนจะเฮ...ลองมองย้อนดูก่อนว่า ปทัสถานของเด็กไทยเป็นอย่างไร?...ตอนนี้หลายคนโดยเฉพาะนักเรียนมองว่าระเบียบการแต่งกายเป็นเรื่องโบราณสมควรยกเลิก...แล้วถ้ายกเลิกจริง!!! นักเรียนจะแต่งชุดอะไรมาโรงเรียน...คนบ้านมีอันจะกิน(รวยโคตร)จะแต่งอะไรมา คนบ้านจนเห็นแล้วจะว่าอย่างไร? จะอิจฉาไหม จะอายไหมถ้าเธอบ้านจนมีแต่เสื้อยือกางเกงยืนเก่าๆมาโรงเรียน ต้องมาเป็นเพื่อนกับคนบ้านรวยใส่หลุยส์วิตองมาเรียนทุกวัน..เธอจะทนเป็นเพื่อนกับมันได้นานเท่าไหร่?...พอบอกว่า "พอดี" "สุภาพ"นะ ปทัสถานของนักเรียนไทยเป็นอย่างไร?...สุภาพ...แบบไหน?  พอดี...แบบไหน? ....ทหารแต่งเครื่องแบบเพื่อแบ่งยศฐาบรรดาศักดิ์ แต่งเครื่องแบบเพื่อมีไว้แสดงยศ ลดความเหลื่อมล้ำระหว่างทหารบ้านรวยกับทหารบ้านจน...นายสิบ บ้านรวยเป็นพันล้านก็ต้องรับคำสั่งนายร้อยจนๆ  เพราะมองจากเครื่องแบบมันไม่มีทางรู้ว่ารวยหรือจน นั่นคือเหตุผลของเครื่องแบบ...แล้วถ้าทหารยกเลิกเครื่องแบบเพราะมันเชย...จะเกิดอะไรขึ้น? มันเหมาะสมไหมที่ทหาร-ตำรวจ จะแต่งชุดเหมือนชาวบ้านแต่ถือปืนเดินไปเดินมา...นานๆไปโจรสวมรอยเนียนว่าเป็นทหารเป็นตำรวจ สังคมจะเป็นอย่างไร?...เครื่องแบบก็คือเครื่องแบบ ที่มันเชยก็เพราะคนใส่ไม่ชอบมันก็เลยไม่ดูแลไม่แต่งให้เหมาะสม พยายามแก้พยายามแหวก ก็เพราะไม่ชอบไม่ภูมิใจ  เครื่องแบบดูเท่ห์เพราะคนใส่ภาคภูมิใจหมั้นดูแลตั้งใจแต่ง มันก็ดูดี....ความสวยงามมันอยู่ที่ใจ...จริงไหมครับ?...มองย้อนมาที่ชุดนักเรียนโดยเปรียบเทียบกับตัวอย่างของทหาร...ใส่เครื่องแบบนักเรียนดีหรือจะยกเลิก? ถ้าจะยกเลิกเพราะอะไร?...ชุดมันเชย...หรือกูอยากอวด...หวังว่าถ้ายกเลิกชุดนักเรียนหมดประเทศ คงไม่มีนักเรียนรุ่นใหม่เรียกร้องว่าอยากแต่งเครื่องแบบนักเรียนอีกนะ..."...ทีญี่ปุ่นทีเกาหลีเขายังมีเครื่องแบบนักเรียนเลย โรงเรียนไทยเฮงซวยไม่ยอมแต่ง..."

     เรื่องหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอน
     เรื่องนี้เป็นเรื่องที่วิทยากรท่านหนึ่งออกนอกเรื่องให้ฟังอันเนื่องมาจากการอธิบายขยายความของคำว่า "ศาสตร์"หลังวิชาต่างๆ ซึ่งท่านวิทยากรอธิบายว่า วิชาที่ตามหลังด้วยคำว่า"ศาสตร์" คือวิชาที่ว่ากันด้วยหลักการ เช่น วิทยาศาสตร์ มีกฎ ข้อพิสูจน์ชัดเจนตายตัว ไม่ว่าจะนานกี่ร้อยปีก็จะยังคงถูกต้องเสมอ ส่วนวิชาที่ไม่"ศาสตร์"ตามท้าย มักเป็นวิชาที่เรียกว่า "ศาสตร์ประยุกต์"ไม่ใช่ศาสตร์แท้ คือ ต้องนำเอาความรู้จากศาสตร์แท้มาประยุกต์ให้เกิดความรู้ใหม่...พอถึงตรงนี้วิทยากรก็เลี้ยวออกว่าวิชารัฐประสานศาสตร์น่าจะเรียกเป็นอย่างอื่น เพราะหลักการที่ร่ำเรียนกันมันเปลี่ยนทุกวัน อย่าว่าแต่วิชานี้เลย วิทยาศาสตร์ยังมีการเปลี่ยนแปลงได้เมื่อถึงเวลาหนึ่ง...แล้ววิทยากรก็เลี้ยวอีกว่า ครูรู้หรือเปล่าว่าเราสอนวิทยาศาตร์เด็กทำไม ทำไมเด็กต้องเรียนวิทยาศาสตร์ เรียนคณิตศาสตร์ คิดโจทย์กันหัวจะแตกสุดท้ายก็เรียนแค่เพื่อไปสอบให้ได้คะแนน...วิทยากรไม่ได้ตอบหรือเฉลยนะครับ แต่มันทำให้ผมนึกได้ว่าผมเคยได้มีโอกาสฟังอดีต ผอ.สพฐ ท่านหนึ่ง คุยกับนักเรียนที่เป็นนักดนตรีที่ผมควบคุมวงไปออกงานว่า "การเรียนวิทยาศาสตร์เป็นการฝึกให้นักเรียนรู้จักคิดอย่างมีขั้นตอน รู้จักตั้งสมมติฐาน พิสูจน์อย่างมีระบบ ซึ่งจะปลูกฝังให้เด็กเรียนรู้และรู้จักการคิดอย่างมีเหตุมีผล ส่วนคณิตศาสตร์นั้น..." ท่านตอบคำถามนักเรียนว่าทำไมต้องเรียนคณิตศาสตร์ยากๆด้วยๆ ท่านหัวเราะก่อนจะตอบว่า "นั่นนะสิ.." แล้วท่านก็หันไปพูดกับผู้ติดตามบางคนว่า คณิตศาสตร์เรายากไปไหม แต่ท่านก็อธิบายว่า การเรียนคณิตศาสตร์คือการฝึกให้รู้จักคิดซับซ้อนซึ่งจำเป้นต่อการดำเนินชีวิตประจำวันที่ต้องคิดอะไรๆมากกว่า 1...ยิ่งเรียนสูง โจทย์คณิตศาสตร์จะยิ่งซับซ้อน(มิใช่ยาก) เพื่อให้นักเรียนได้ฝึกคิดมากๆ....อันนี้เป็นคำตอบของบุคคลที่ดำรงตำแหน่ง ผอ.สพฐ.ณ ขณะนั้น แต่ถ้าถามครูหรือเด็กตอนนี้ ถ้าไม่บอกข้างบน ครู/เด็กจะตอบว่าอะไร?...อย่าบอกนะว่าจะตอบว่าเพื่อให้สามารถแก้โจทย์ยากๆได้ เวลาไป admission จะได้ทำข้อสอบได้เยอะๆ...ตูละเบื่อ....
     ที่เบื่อเพราะว่าเราจัดการเรียนสอน จัดหลักสูตรกันจนลืม(ไปหรือเปล่า)ว่าจุดมุ่งหมายของการเรียนแต่ละวิชามีไว้เพื่อสิ่งใด หรือวัฒนธรรมคนไทยที่เน้นด้านปริมาณ(ทุกอย่าง) จึงมองผลสัมฤิทธิ์ของการเรียนไปที่"เกรด"เพียงอย่างเดียว และทึกทักเอาว่า ผลการเรียนดีมากก็จะประสบความสำเร็จในชีวิตมาก...ผมคนหนึ่งล่ะขอค้าน...เพราะเพื่อนผมสมัยมัธยมเกรดมันน้อยกว่าผมตั้งเยอะ แต่มันดื้อ! ไปเรียนวิศวะเอกชน เรียนตั้ง 6 - 7 ปี กว่าจะจบ ตอนนี้มันเป็นวิศวกรอยู่ญี่ปุ่นเงินเดือนเป็นแสนรวยจนไม่รู้จะซื้ออะไรเพิ่มดี(มีหมดแล้ว) ผมเป็นครูเงินเดือนหมื่นกว่าประสบความสำเร็จมาก ไม่มีจะกินหนี้สินบานเบอะ กระเป๋าแห้งแดกอุดมการณ์....นั่นคือวัดกันที่ตัวเลข แต่ถ้าวัดกันที่คุณภาพ ผมมีความสุขกับการเป็นครู เงินเดือนจิบจ้อยผมก็ไม่ค่อยได้ใช้ อดบางมื้อเอาเงินไปให้เด็กกินข้าว ซื้อรองเท้า จ่ายค่าเรียน มันรู้สึกสุขใจมากกว่า เพื่อนผมสิ บ่นทุกวันงานเครียด นายกดดัน ฯลฯ ฟังดูแย่...เลิกเถอะครับการมองอะไรเชิงปริมาณเนี่ย มันสรุปผลอนาคตไม่ได้ ปลูกข้าวได้เยอะมากๆก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะรวย ขายไม่ออก ไม่ได้คุณภาพ ราคาตก สุดท้ายอาจจะเจ๊งก็ได้  หันมาดูอะไรที่เป็นเชิงคุณภาพกันดีกว่า การเรียนการสอนก็หันไปดูว่าเรียนแล้วได้อะไร เอาไปใช้ได้ไหม? ดีกว่าตอบแบบกำปั้นทุบดินว่าเรียนไปสอบบบบบบ....ย๊ากกกสสสส์...

ไวรัสคอมพิวเตอร์


     มีคนบ่นผมว่าอยากใช้เน็ต แต่ไม่ยอมใช้เพราะกลัวติดไวรัส! ผมฟังแล้วก็รู้สึกเห็นใจครับ เพราะคนที่เข้าใจแบบนี้มีอยู่ไม่น้อย ซึ่งก็ไม่ผิดเสียทีเดียวนะครับ จะว่าไปมีส่วนถูกมากกว่าผิดซะอีก  เพราะฉะนั้น หันมาโพสต์เรื่องคอมพิวเตอร์กันดีกว่า เป็นความรู้แก่บุคคลทั่วไปที่ไม่มีเวลาศึกษาเรื่องนี้ ผมจะเขียนสั่นๆ อ่านจบเร็วๆ จะได้ไม่เสียเวลามาก หากไม่เข้าใจก็ถามได้นะครับ

     ไวรัส(คอมพิวเตอร์) เป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์อย่างหนึ่ง เหมือนโปรแกรมเกมส์ โปรแกรม office ทั่วไปครับ  ไม่ใช่เชื่อโรคของคอมพิวเตอร์ที่ทำให้คอมพิวเตอร์พังครับ ที่สำคัญมันไม่ได้แพร่ไปตามอากาศอย่างที่บางคนเข้าใจผิดอย่างน่าเวียนหัว

     ไวรัสมีมากมายหลายแสนตัว ทุกตัวเป็นโปรแกรมที่มนุษย์เจตนาเขียนขี้นโดยมีจุดมุ่งหมายตั้งแต่สร้างความรำคาญ จนถึงทำลายข้อมูลบนเครื่องคอมพิวเตอร์นั้น บางตัวอาจทำลายข้อมูลในระบบเครือข่ายขององค์กรเลยทีเดียว  แต่อย่าพึ่งตระหนกมากไป เพราะมากกว่า 90% ของไวรัส(คอมพิวเตอร์) มีจุดมุ่งหมายก่อความรำคาญ เช่น ส่งเสียงร้อง ปิดจอ ทำตัวหนังสือหล่น ซ่อนไฟล์ เปลี่ยนชื่อโฟลเดอร์ โหลดตัวเองซ้ำในหน่วยความจำทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานช้าลง เป็นต้น ส่วนพวกรุนแรงมักถูกปราบเรียบตั้งแต่วันที่ก่อเรื่อง

     ที่เรียกโปรแกรมจำพวกนี้ถูกเรียกว่า "ไวรัส" เพราะมีพฤติกรรมคล้ายเชื้อโรคไวรัส คือ
     1. ตัวมันเองไม่มีโปรแกรมที่สมบูรณ์ ต้องอาศัยเครื่องมือจากโปรแกรมอื่นๆ เช่น VBบนไมโครซอฟต์ออฟฟิศเป็นต้น
     2. แอบซ่อนอยู่กับรหัสของโปรแกรม หรือ ไฟล์อื่นๆ เหมือนเชื้อไวรัสที่เจาะเซลล์ของแบคทีเรีย
     3. มีพฤติกรรมแพร่กระจายตนเองอัตโนมัติ
     4. เมื่อคอมพิวเตอร์เครื่องใดติดไวรัสแล้ว จะทำงานผิดปกติ เหมือนคนป่วย
เราจึงเรียกโปรแกรมพวกนี้ว่า"ไวรัส"

     การแพร่กระจายของไวรัสขึ้นอยู่กับชนิดของไวรัส บางตัวติดมากับไฟล์ word  บางตัวติดมากับ Thumb drive  บางตัวติดมาจากการเรียกเปิดโปรแกรม หรือ ดาวน์โหลดโปรแกรมจากอินเตอร์เน็ต  แต่ที่เป็นยอดนิยมคือ Thumb drive หรือ ที่บางคนเรียกว่า Flash drive  แล้วก็อย่าลืมโทรศัพท์มือถือด้วยนะครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวก smart phone ทั้งหลาย เพราะเมื่อเสียบสาย USB เข้ากับคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์พวกนี้จะมีคุณสมบัติเป็น Thumb drive ดีๆนี่เอง

     ว่าด้วยการติดไวรัสจาก Thumb drive  เป็นเรื่องยอดฮิตจนบางคนบอกว่าไม่มีซิแปลก  แท้ที่จริงแล้วไวรัสที่มากับ Thumb drive มีแค่ 2 ลักษณะ คือ ไวรัสที่เป็น autorun และไวรัสที่แฝงอยู่ในไฟล์   ไวรัสที่ติดต่อผ่านทาง thumb drive นี้ ต้องป้องกันด้วยโปรแกรม anti-virus เพียงอย่างเดียว ส่วนจะป้องกันได้มากหรือน้อยขึ้้นอยู่กับความสามารถของโปรแกรม anti-virus

     ไวรัสที่แฝงอยู่ในไฟล์ เช่น ไฟล์ document เมื่อเสียบ thumb drive เข้าเครื่อง โปรแกรม anti-virus มักหาไม่เห็นในทันที แต่จะตรวจเจอเมื่อทำการเปิดไฟล์นั้นๆ หรือ ทำการ copy ไฟล์นั้นลงเครื่อง แต่บางครั้งก็ตรวจไม่เจอในขั้นตอนการ copy  แตกต่างจากไวรัสประเภท autorun (ชื่อก็บอกอยู่แล้ว ว่าทำงานอัตโนมัติ) ที่จะพยายามทำงานทันทีที่เสียบ thumb drive เข้ากับเครื่องคอม หาก thumb drive มีไฟล์ที่ชื่อ Autorun.inf หรือ Autorun เฉยๆ ก็แสดงความยินดีด้วยครับ!!! ....แต่เดี๋ยวก่อน...มีโปรแกรมแก้ไวรัส autorun อยู่ 2-3 ตัวที่แก้ไขแบบหนามยอกเอาหนามบ่งคือ anti-virus พวกนี้จะสร้างไฟล์ autorun ขึ้นมาดักไว้หลอกไม่ให้ไวรัสเขียนโปรแกรมทับได้ เช่น PANDA vaccine  โปรแกรมกัน autorun ของพระจอมเกล้าฯ เป็นต้น

     โปรแกรมที่เป็นเป้าหมายในการทำลาย(ให้พัง) จะเป็นไฟล์ application ของโปรแกรม เช่น ไฟล์ word.exe ของโปรแกรมไม่โครซอฟต์ออฟฟิศ ซึ่งผู้ใช้งานคอมฯทั่วไปไม่เคยเห็นโปรแกรมนี้ตัวเป็นๆหรอกครับ อย่างดีก็เห็น shortcut บน desktop  ซึ่งโปรแกรมที่มีจุด(.) เป็น exe เหล่านี้ ไวรัสมักทำการ delete ลบ หรือไม่ก็โจมตีโปรแกรมข้างเคียงที่โปรแกรมจุด exe ต้องการใช้ เช่น โปรแกรมที่มีจุดเป็น dll ซึ่งโปรแกรมพวกนี้พังไปก็ไม่เป็นไร ลงใหม่ก็หาย"ป่วย"แล้ว

     โฟล์เดอร์ หรือ ไฟล์ใน thumb drive หายหรือเปลี่ยนไป เป็นอาการยอดฮิตที่เซียนคอมเรียกว่าไวรัสหลอกควาย! เพราะที่จริงไฟล์เหล่านี้ไม่ได้หายไปไหน แต่ถูกซ่อนไว้ แล้วสร้างโฟลเดอร์ปลอมมาหลอกเรา  วิธีการแก้ต้องใช้คำสั่งผ่าน command prompt ก็จะแก้ไขได้ ดังนั้นหาก thumb drive ของคุณไฟล์หายไป อย่างเพิ่งด่วน format นะครับ เดี๋ยวเขาจะหาว่าควาย!

     ไวรัสทำคอมพัง...ไวรัสทำคอมพังไม่ได้ ขอยืนยัน นั่งยัน นอนยัน ตีลังกายันก็เอา แต่ถ้าเครื่องคอมติดไวรัสบางจำพวกอาจทำให้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์บางอย่างเสียหายได้ในทางอ้อม เช่น โปรแกรมที่เขียนตัวเองซ้ำๆบนฮาร์ดดิสก์ มันก็จะทำให้ฮาร์ดดิสก์ทำงานตลอดไม่หยุด มันก็พังสิครับ แต่คงไม่ใช่ตั้งแต่วันแรกที่ติดไวรัสตัวนี้ เพราะฉะนั้นอย่าตระหนก

     ไวรัสที่(ไหล)มากับอินเตอร์เน็ต...มักเป็นไวรัสที่เราเรียกกันผิดๆว่าไวรัส ความจริงแล้วพวกนี้มักเป็น worm หรือ Trojan คงเคยได้ยินตำนานม้าไม้กรุงทรอยใช่ไหมครับ ที่มีทหารซ่อนอยู่ในม้าไม้ขนาดใหญ่แล้วมาแอบเปิดประตูเมืองจากด้านใน...นั่นแหละครับ Trojan มีลักษณะเดียวกัน คือ จุดหมายของมันคือเปิดช่องทางติดต่อให้กับนักจารกรรมข้อมูล คือเมื่อมันเข้ามาในเครื่องเราได้ มันจะส่งข้อมูลออกไปว่า port (ประตู) ใดบ้างสามารถเข้ามาได้เพราะผุ้ใช้ไม่ดูแล เมื่อนักจารกรรมติดต่อเข้าที่เครื่องคอมได้แล้วก็จะทำการ"ควบคุม"เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องนั้น เรียกว่า"การรีโมท" ซึ่งเมื่อทำได้ก็จะเหมือนนั่งอยุ่หน้าคอมเครื่องนั้น และมักมีจุดมุ่งหมายในการ"ขโมย"ข้อมูล ดังนั้น นักจารกรรมที่เก่งขนาดนั้นคงไม่ลงทุนแฮกมาขโมยการบ้านเด็ก หรือ แม้แต่คะแนนเด็ก  ซึ่งทำแล้วไม่ได้เงิน...ถามว่าเด็กทำได้ไหม? แน่นอน อาจเป็นไปได้ แต่การแฮกข้อมูลต้องใช้ความรู้สูงกว่าหลักสูตร ป.ตรี วิศวะคอมฯ...ที่สำคัญต้องใช้เวลาในการแฮกข้อมูลนานเป็นวันหรือเป็นเดือน เพราะระบบคอมพิวเตอร์ของโรงเรียนก็มีการป้องกันดีในระดับหนึ่ง และหลายชั้น อย่างน้อยก็เข้าไม่ได้จากนอกโรงเรียน แต่ถ้าครูปล่อยให้นักเรียนใช้เครื่องคอมโดยไม่ดูแลก็เป็น user error นะครับ...แต่ก็ไม่แน่..
     worm หรือ Trojan ที่มาทางอินเตอร์เน็ต มักถูกปิดกั้นไว้แล้วหลายชั้นในระบบเครือข่าย รวมถึงการป้องกันโดยธรรมชาติของโครงสร้างเครือข่ายที่แบ่งภายนอกและภายในอย่างเด็ดขาด และในท้ายที่สุด windows ที่เครื่องของเราเองก็มีการป้องกันไว้อีกชั้นหนึ่ง ซึ่งหาก windows ตรวจพบ worm หรือ Trojan มักจะสกัดกั้นโดยบอกและถามผุ้ใช้ในทำนองว่า web แห่งนี้อาจมีอันตราย จะเข้าดูหรือไม่? ซึ่งหากเป็น web ที่ไม่รู้จักก็ควรปฏิเสธตามคำเตือนนั้นเสีย รวมถึงไฟล์ต่างๆด้วย หากเป็นไฟล์ที่เราไม่ได้สั่งให้ดาวน์โหลด ก็ควรปฏิเสธตามคำแนะนำ 


     เมื่อติดไวรัส....ผุ้ใช้มักไม่รู้ตัวว่าตนเองติดไวรัสจนกระทั่งเกิดความเสียหาย  ที่จริงแล้วไวรัสหลายๆตัวที่ระบาดในโรงเรียนผ่าน Thumb drive เป็นไวรัสไม่ร้ายแรงแต่อย่างใด มักก่อความรำคาญในลักษณะซ่อนไฟล์ หรือทำให้เครื่องช้าลง ซึ่งปัญหาก็คือ เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้วก็ทำงานลำบาก "กดปุ่มแล้วคอมก็ไม่ตอบสนอง มัวแต่โหลดอะไรอยู่ก็ไม่รู้" ซึ่งก็คืออาการติดไวรัสประเภทก่อความรำคาญนั่นเอง และเมื่อติดไวรัสนานๆหรือมากๆเข้าเครื่อคอมก็จะ Hang หรือ ค้าง เพราะไม่สามารถประมวลผลได้หมดนั่นเอง  แต่ปัญหาคือ เมื่อติดไวรัสแล้วก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะข้อมูลในเครื่อง หาก format ก็จะสูญเสียข้อมูลไป แต่บางครั้งการที่เครื่องช้าหรือ Hang บ่อย ก็ไม่ใช่เพราะติดไวรัสเสมอไป  ชาว windows จะรู้ดีว่า เมื่อใช้งานเครื่องคอมไปนานๆ windows จะสะสมข้อมูล"ขยะ"บางอย่างไว้ทำให้เครื่องช้าลง โดยเฉพาะเครื่องที่โก่ง spec เช่น เอาเครื่อง Celeron D มาติดตั้ง windows7 อันนี้มันไม่ไหวตั้งแต่แรกแล้วครับ


     ป้องกันไวรัส...ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปเกือบจะไม่ได้ในสังคมที่คนทำงานแบบนี้ คือมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันไปมา ซึ่งจำเป็นต้องใช้ Thumb drive เป็นหลัก วิธีที่พอจะเป็นไปได้คือ
     1. พยายามจำกัดการใช้ Thumb drive ไว้ใช้เฉพาะในโรงเรียน พยายามอย่านำไปใช้ที่อื่น โดยเฉพาะตามร้านอินเตอร์เน็ต เพราะร้านพวกนี้ไม่มีการป้องกันอะไรเลย ไวรัสเป็นพันรอ Thumb drive ท่านอยู่
     2. พยายามติดตั้ง anti-virus ในเครื่อง เจอน้อยยังดีกว่าไม่เจอเลย แต่ผมขอไว้ตัวหนึ่งแล้วกันครับ คือ NOD ที่ชอบแถมมากับคอมฯ ไม่ใช่ของเขาไม่ดีนะครับ แต่ตัวที่แถมมาให้มันเป็น mini (ผมอยากจะเรียกว่า nano ซะให้รู้แล้วรู้รอด) มันทำอะไรมากไม่ได้  แล้วก็อีกอย่างกับการใช้ anti-virus เวลามีข้อความเด้งขึ้นมา ช่วยอ่าน+ทำความเข้าใจนิดนึง ว่ามันแปลว่าอะไรหมายถึงอะไร ไม่ใช่เอะอะอะไรก็ YES ไว้ก่อน เพราะหลายกรณีที่โปรแกรม anti-virus ถามว่า "โปรแกรมนี้เป็นไวรัส คุณจะอนุญาติโปรแกรมนี้หรือไม่?" ตอบ YES ก็เสร็จสิครับ
     3. เปลี่ยนพฤติกรรมการใช้คอมพิวเตอร์บนมาตรฐานความปลอดภัยโดยการ"ใช้ username และ password" ทุกครั้งที่ใช้คอมพิวเตอร์ และควรให้ผุ้ดูแลระบบกำหนดระดับการใช้งานคอมพิวเตอร์ให้อยู่ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะพฤติกรรมการใช้คอมพิวเตอร์ของคน"มักง่าย"ไม่ชอบตั้ง password ตั้งแต่ติดตั้ง windows ซึ่งการทำเช่นนั้นทำให้การใช้เครื่องถูกระบุเป็น admin ซึ่งมีสิทธิ์สูงสุด เข้าถึงทุกอย่างได้อย่างอิสระ เมื่อคุณนำไวรัสมา ไวรัสก็เข้าถึงแกนของ windows ได้อย่างง่ายดาย  
     4. หันมาใช้ระบบ network ในการแบ่งปันไฟล์ เพราะอย่างน้อยก็ป้องกันไวรัสยอดฮิตที่แพร่ระบาดผ่านทาง Thumb drive ได้  แต่ปัญหาขณะนี้คือ ระบบเครือขายของโรงเรียนเป็นแบบ peer-to-peer ซึ่งไม่ปลอดภัย และมีการจัดเก็บข้อมูลอย่างกระจัดกระจายเครื่องใครเครื่องมัน การ share ไฟล์ ก็เลยเปรียบเสมือนเอากระเป๋าเราไปวางไว้กลางถนน จริงอยู่อาจจะไม่ได้ไปทุกอย่าง แต่มันก็สาธารณะเกินไป อันที่จริง windows สามารถกำหนดให้เข้าถึง Folder ได้ถึงระดับระบุตัวเป็นรายบุคคล แต่คงเป็นการเข้าใจยากสำหรับผู้ใช้ทั่วไปในการกำหนดสิทธิ์  มีอีกวิธีหนึ่งที่สมบูรณ์คือการใช้เครือข่ายแบบเป็นสมาชิกของโดเมน คือ มีการควบคุมสิทธิ์แบบรวมศูนย์โดยผู้ดูแลระบบซึ่งอาจต้องลงทุนในการติดตั้งระบบ แต่จะมีความปลอดภัยจากไวรัสและการปกป้องข้อมูลอย่างสูง แต่จะต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้คอมพิวเตอร์ของคนทั้งโรงเรียนให้มี username และ password เป็นของตนเองรวมถึงนักเรียนทุกคน 

วันพฤหัสบดีที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

สวย...ไม่มีประโยชน์

รูปภาพสวยๆ ไม่เกี่ยวกับโพสต์
     เมื่อ 2 - 3 วันก่อน ผมไปติดฝนอยู่ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง...ผมก็เข้าร้านอาหารจานด่วนเพื่อไปนั่งรอฝนหยุด บริเวณหน้าห้างมีคนยืนหลบฝนอยู่ใต้ชายคาหน้าห้างอย่างทุลักทุเล ฝนก็แรง ลมก็แรง คนที่หลบฝนอยู่ก็เปียกหมด ผมได้ยินพนักงานระดับหัวหน้าประกาศให้คนเข้ามาหลบฝนในห้าง แต่ดูจากหน้าตาคนที่หลบฝนแล้วรู้สึกว่าจะมีอารมณ์นิดหน่อย ไม่รู้เพราะฝนหรือเสียงประกาศ..ผมเองก็แปลกใจว่าคนเหล่านั้นไปยืนให้ฝนสาดเปียกอยู่ทำไม เข้ามาข้างในก็หมดเรื่อง...ผมอ่านปากบางคนได้ว่า "จะเรียกทำไม?"...จนฝนหยุดผมก็สิ้นสงสัย...ผมเดินออกไปทางประตูหน้าตรงนั้น (ตรงที่คนเขาหลบฝนกัน) ผมจึงเข้าใจว่าทำไมเขาจึงไม่เข้ามาในห้างกัน...เพราะหน้าห้างมีชายคาสามารถบังแดดบังฝนได้ตลอดทาง คือ คุณสามารถเดินได้ตลอดความยาวของห้างได้โดยไม่เปียกฝนซักหยด ยกเว้น! ตรงหน้าประตูห้างนั้นเอง...เดิมทีเดียวห้างนี้ประตูก็อยู่แนวเดียวกับกำแพงห้าง แต่เมื่อไม่นานมานี้ ทางห้างได้ตกแต่งทางเข้าใหม่โดยการกั้นกระจกยื่นออกไปด้านหน้า(ยื่นเกินชายคาออกไปอีก) ส่วนที่ต่อเติมออกมาก็มีหลังคาเฉพาะด้านหน้าซึ่งเป็นประตู...ดังนั้นคนที่หลบฝนอยู่ใต้ชายคาที่ผมมองเห็นจากกระจกร้านอาหารด้านใน จึงเข้ามาในห้างไม่ได้ เพราะถ้าจะเข้า พวกเขาต้องเดินฝ่าฝนออกไปเพื่อจะเดินไปที่ประตู...กระจกกั้นทางเข้าดูแล้วสวยงาม แต่ไม่คิดให้รอบคอบ จึงมีข้อบกพร่อง ลูกค้าเดินหลบฝนมาได้ตั้งไกล มาเปียกอีตอนจะเข้าประตูนี่แหละ ผมว่ามันสวย..แต่ไม่มีประโยชน์ ถ้าจะคำนึงถึงความสวยงามอย่างเดียว ผมก็ว่าดี แต่ถ้าคิดถึงการใช้ประโยชน์ผมว่าควรปรับปรุง...ผมมัวแต่มองกำแพงมองหลังคา ไม่ได้ดูพื้น เลยเหยียบน้ำที่ขังอยู่ที่พื้นลึกมิดรองเท้า กระเด็นเปียกขึ้นมาครึ่งแข้ง...โง่จริงๆ!!

วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2555

นักเรียน...ในโรงหนัง

     หลายคนคงได้ทราบข่าวและคงได้เห็นคลิปเกี่ยวกับนักเรียนชายหญิงคู่หนึ่ง ถูกกล้องวงจรปิดในโรงภาพยนตร์จับภาพขณะมีเพศสัมพันธ์ในโรงหนัง!!!...ใครผิด? คำนี้คงเป็นข้อสงสัยที่ตามมาในทันที เพราะคลิปนี้อยู่ในลักษณะ"แอบถ่าย" เพราะผู้ถูกถ่ายไม่รู้ตัว แถมผู้ถูกถ่ายเป็นผู้เยาว์ ที่สำคัญคลิปนี้ถูกเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ตโดยคนที่มีชื่อซึ่งได้ลงทะเบียนไว้กับเวปเผยแพร่คลิปวิดีโออย่างชัดแจ้ง...ผลที่ตามมาคืออะไร?...คงเป็นคำถามที่ตามหลังคำถามข้างบน ซึ่งชัดเจนแล้วว่า ผลเบื้องต้น นักเรียนหญิงได้ลาออกจากโรงเรียนเนื่องจากอับอาย...แล้วนักเรียนชายในคลิปล่ะ?...แล้วเรื่องนี้จะโทษใคร?..จะแก้อย่างไร?...
     โดยส่วนตัว..ผมย้ำว่า โดยส่วนตัว...ผมมีความเห็นว่าเรื่องนี้เกี่ยวกับจิตสำนึกของเด็ก ซึ่งปนด้วยค่านิยม ซึ่งผมไม่รู้ว่าจะเรียกว่าค่านิยมที่ผิดดีหรือไม่ เพราะสื่อ ซึ่งเป็นสิ่งที่เด็กบริโภคมากกว่าการอบรมสั่งสอนของพ่อ-แม่ กำลังอยู่ในสภาพเห็นเยาวชนเป็น"เหยื่อ"ในการหารายได้ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ เพลง หรือ สิ่งมอมเมาต่างๆ ล้วนมีการตลาดอยุ่ที่เยาวชนทั้งสิ้น หากจำได้ย้อนหลังไปเมื่อกฎหมายสถานบันเทิงกำหนดห้ามผู้ที่อายุต่ำกว่า 20 ปี ใช้บริการ แค่ชั่วข้ามคืน ผับ เทค ปิดตัวเองไปมากกว่าครึ่ง ผมจำได้ว่าตอนกฎหมายออกใหม่ๆ ตำรวจตรวจเข้มๆ แหล่งบันเทิงดังย่านพระรามเก้าแทบไม่มีคน ร้านแทบไม่เหลือ ..คำถามคือ เกิดอะไรกับสังคมไทย...เหตุใดสิ่งยั่วยุและมอมเมาจึงพุ่งเป้าไปที่เยาวชน...ถามว่ามันเป็นเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร๋...ผมตอบได้เลยว่ามันเป็นมาตั้งชาตินึงแล้ว...เพราะวัยรุ่น เป็นวัยอยากลอง อยากโต อยากโชว์ อยากช่วย...อะไรใหม่ๆก็ต้องวัยรุ่นนี่แหละ...แต่อย่างที่เห็น คนยิ่งรุ่นเก่าเท่าไหร่ ยิ่งมีปริมาณในการถูกมอมเมาน้อยลง..เพราะเหตุใด?...เพราะสื่อไม่เจริญ การเข้าถึงยากกว่ายุคปัจจุบัน ที่มีทั้งมือถือ อินเตอร์เน็ต เคเบิ้ลทีวี ฯลฯ เป็นเหตุให้เยาวชนของเราเข้าถึงสิ่งยั่วยุมอมเมาได้มากกว่าที่เคย...แล้วเราสามารถแก้ปัญหาโดยการยับยั้งสื่อหรือ?...คำตอบของผมคือไม่!! ผมว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่สื่อ แต่อยู่ที่สำนึกของเด็กซึ่งถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กๆ...ผมขอยกตัวอย่างไกลๆหน่อย...เด็กตัวเล็กๆอายุ 3 - 4 ขวบ พ่อแม่จับแต่งสายเดี่ยวจนโต พอมีความคิดที่จะแต่งตัวเอง ถามว่าเด็กคนนี้จะใส่เสื้อผ้าแขนยาวขายาวเป็นไหม?...ลูกอยู่ ป.4 พ่อแม่ซื้อ iphone ให้ใช้ ผมถามว่า เด็กขึ้นมัธยมจะยอมกลับไปใช้ nokia เครื่องละ 2000 ไหม? ...นี่คือค่านิยม+สำนึกที่พ่อแม่ปลูกฝังใช่หรือไม่...ผมว่า...เด็ก เมื่อถึงมัธยมก็สายเสียแล้ว...
     ทีนี้ในฐานะคนที่อยู่ในระบบการศึกษา...เป็นที่ทราบดีว่า พ่อ-แม่ มีความหวังกับโรงเรียนสูง ทุกคนคิดว่าเมื่อส่งลูกมาโรงเรียน ลูกจะมีความรู้ ประพฤติดี สามารถโตไปประกอบอาชีพเลี้ยงตัวเอง และพ่อ-แม่ได้...แต่พอมองมาที่โรงเรียน โรงเรียนหรือครูกลับบอกว่า เด็กจะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับการเลี้ยงดูที่บ้าน...!?!...แล้วตกลงเป็นอย่างไรกันแน่...
     ผมว่าเด็กยุคนี้มีปัญหามากเนื่องจากถูกเลี้ยงอย่างไข่ในหิน ที่เด็กไปทำในโรงหนัง ผมเชื่อเกิน 50% ว่า นั่นไม่ใช่ความตั้งใจแต่แรกของเด็ก อย่างดีก็คงคิดว่าไปดูหนัง จับมือถือแขน อาจมีจับๆคลำๆบ้าง แต่สถานการณ์มันพาไป...เด็กเกินเลยไปถึงขนาดนั้นได้เพราะเด็ก"ขาดภูมิคุ้มกัน"...เพราะอะไร...อย่างที่กล่าวไว้แล้ว สังคมไทยเลี้ยงเด็กอย่างไข่ในหิน...ในทุกที่ ไม่ว่าจะเป็น บ้าน หรือ โรงเรียน...ในส่วนของโรงเรียนผมก็เคยลงโพสต์ไปแล้วว่า เรากำลังจัดการศึกษาที่ฝืนธรรมชาติ คือ เราผลักให้เด็กเรียนจบมากกว่าจะควบคุมคุณภาพ เด็ก ม.3 อ่านไม่ออกเขียนภาษาไทยไม่เป็นตัว ได้ขึ้น ม.4 อีกต่างหาก สอบไม่มีตก สอบซ่อมไม่กำหนดจำนวนครั้ง...เป็นเหตุให้เด็กละเลยการศึกษา ไม่ทำการบ้าน ไม่อ่านหนังสือ เมื่อไม่ทำ ก็มีเวลาว่างมาก แล้วก็นำเวลาว่างไปใช้ในเรื่องเกี่ยวกับอบายมุข สิ่งยั่วยุ...พิจารณาจากโรงเรียนแต่ละแห่ง โรงเรียนไหนที่มีคุณภาพการศึกษาต่ำ เด็กจะมีปัญหามากกว่าโรงเรียนที่มีมาตรฐานการศึกษาที่สูง...โรงเรียนดังๆ ไม่เคยช่วยเด็ก ตกก็ตก ผ่านก็ผ่าน 49 ยังได้ 0 เพราะเขาตรวจข้อสอบด้วยคอมพิวเตอร์ เด็กก็ยอมรับได้ไม่เห็นมีปัญหา...ในประเทศที่เจริญแล้วอย่างอเมริกาหรือยุโรป เด็กนอกระบบไม่ใช่ปัญหาด้านการศึกษาของเขาเลย การเรียนของผู้ใหญ่หลังเลิกงานเป็นเรื่องปกติของเขา เช่น เยอรมัน หรือ สวีเดน
     สวีเดนเป็นประเทศฟรีเซ็กส์ และฟรีทุกอย่างในความรู้สึกของผม..ผมมีเพื่อนเป็นวิศวกรอยู่ที่นั่น ภรรยาเป็นครูโรงเรียนอนุบาล...เชื่อหรือไม่ ภรรยาของเพื่อนผมต้องไปเรียนนอกเวลาอยู่ 5 ปี จึงจะได้งานครูอนุบาล...เพราะประเทศนี้หากคุณจบไม่ตรงสาขางานที่จะทำ เงินเดือนคุณจะไม่ขึ้น จริงๆแล้วคือเขาได้เงินเดือนแบบคนไม่ทำงาน คือได้เงินอุดหนุนจากรัฐบาลเท่านั้น ที่สำคัญคือเขาเรียนฟรี...เพื่อนผมทำงานอยู่สายการบิน เป็น chiefอะไรซักอย่าง...แต่เขาก็ต้องไปเรียนบริหารวุฒิ ป.ตรี เพราะเขาอยากมีโอกาสขึ้นเป็นผู้บริหาร ไม่งั้นก็เป้นวิศวกรไปจนแก่ เงินเดือนเกินผุ้บริหาร แต่ก็เป็นลูกน้องเขา ที่เขาไม่เรียน ป.โท เพราะค่าเรียนแพงมาก และ degree ก็ไม่ได้มีผลอะไรกับงานที่ทำ...เยอรมันยิ่งไปกันใหญ่ เด็กที่ไม่เรียนหนังสือ ตอนสุดท้ายสามารถไปสอบจบช่วงชั้นได้ แต่มีข้อแม้ว่า เมื่อไม่เข้าโรงเรียนต้องเลือกว่าจะเรียนแบบ non school หรือ ทำงาน...
     แต่บ้านเรา กลับเห้นเด็กนอกระบบ นอกโรงเรียนเป็นปัญหาใหญ่โต...เด็กไม่เรียนคือเด็กไร้อนาคต...เด็กเลวๆๆๆๆๆ....เด็กเหลือขอ ฯลฯ   แล้วก็ปิดโอกาสเด็กเหล่านี้โดยกฎหมาย คือ ห้ามจ้างงานเด็ก...ไม่จ้างแล้วเด็กจะทำอะไร?...หวังจะบีบให้เด็กอยู่ในระบบการศึกษาหรือ?...ได้ไหมล่ะ?...แล้วเด็กทำอะไร...อาชีพสุจริตทำไม่ได้ก็ลงใต้ดิน ค้ายา ส่งโพย ขายตัว...พอทำแล้วก็จะไม่มีโอกาสกลับสู่ชีวิตปกติได้อีก...
     เรื่องเพศกับวัยรุ่น ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีปัญหาเรื่องการสอนเพศศึกษามากจากความรู้สึกของผม..."พูดไม่ได้"...นั่นคือคำจำกัดความของเพศศึกษาในไทย กลัวเหลือเกินว่าจะเป็นการชี้โพรงให้กระรอก กลัวว่าการสอนเพศศึกษาจะชี้นำให้เด็กเอาไปทำเป็นการบ้าน...ผมถามว่าไม่สอนแล้วเด็กไม่ทำหรือ? ผมว่ามันแย่กว่าผู้ใหญ่พูดเสียอีก..คนไทยลอบได้เสียกันมาตลอดตั้งแต่ไหนแต่ไร ไม่ใช่แค่ในยุตนี้ แต่ยุคนี้สื่อมันเยอะเราจึงเห็น..เด็กก็เห็น...กระทรวงสาธารณะสุขชี้แจ้งลงหนังสือพิมพ์แล้วว่า เด็กไทยอ่อนเพศศึกษามาก เด็ก ม.2 ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ทำอย่างไรจึงท้อง...การเผยแพร่ภาพการมีเซ้กส์ทำให้เด็กบางส่วน หาผลประโยชน์โดยอ้างว่าเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องพิสูจน์รัก...เด็กที่ไม่รู้จึงตกเป็นเหยื่อ...หากมีการสอนเพศศึกษาแบบตรงๆ ตนเด็กรู้ว่า พ่อ-แม่ทำอย่างไร ลูกจึงเกิดมาได้...สอนตั้งแต่วันแรกที่ลูกมีประจำเดือน แถมปลูกฝังไปด้วยว่ามีลูกแล้วต้องรับผิดชอบอย่างไร เมื่อไหร่จึงสมควรมีเพศสัมพันธ์ เพราะอะไร...ผมว่าเด็กจะมีภูมิคุ้มกันที่ดีตั้งแต่วันนั้น...
     สิ่งหนึ่งที่เป็นจุดก่อปัญหาของวัยรุ่นคือ ความไม่แน่นอนของผู้ใหญ่ โดยเฉพาะสังคมในบ้าน...หากผุ้ใหญ่ในบ้านเลี้ยงลูกแบบตามอารมณ์ตนเอง จะพบว่า พ่อ-แม่จะหวังในตัวลูกไปซะทุกอย่าง ลูกแทบไม่มีโอกาสชอบแบบตัวเอง ทำอะไรก็ผืดไปซะหมด...ลองใหม่...ลองคุยกับลูกให้เป็นกิจลักษณะว่า..."ลูก...มี 4 อย่างที่ลูกเป็นแล้วพ่อ-แม่หัวใจสลาย คือ เสพยา เป็นสก๊อย เป็นโจร และรักคนอื่นมากกว่าพ่อ-แม่ นอกนั้นพอทนได้"  แล้วคุณก็ทนให้ได้ ลองดูซิว่า ลูกจะเป็นอย่างไร แต่คาถานี้ไม่ใช่คาถาแก้ แต่เป็นคาถากัน คุณต้องพูดตั้งแต่ลูกยังไม่มีพฤติกรรม ...อีกอย่างหนึ่งคือ ก่อนจะดุลูก พิจารณาให้ดีว่าลูกคุณ ยังเป็นเด็กหรือโตแล้วกันแน่ เลือกเอาซักอย่าง ไม่ใช่ตื่นสายก็ด่าว่าเป็นเด็กเป็นเล็กหัดตื่นสาย พอลูกนั่งเฉยๆก็บ่นว่าโตแล้วไม่รู้จักช่วยงาน พอลูกจะดูทีวีตอนดึกก็บอกว่าเป็นเด็กนอนดึกไม่ได้...ลูกสับสนนะครับ
     ปัญหาเยาวชนล้วนแล้วแต่เกิดจากผู้ใหญ่...ซึ่งขาดวิสัยทัศน์ ขาดจิตสำนึก อคติ ยึดติดทิฐิ มีผลประโยชน์จากเด็ก ไม่สานต่อชอบก่อของใหม่ๆแบบมั่วๆ  มองปัญหาจุดเดียว แก้ปัญหาไม่เป็น คิดวิธีการได้แต่แบบไม่ยั่งยืน เลือกทำงานแบบเสร็จเร็ว ถ่ายรูปได้ มีป้ายสวย ที่สำคัญ...ขาดความกล้าหาญในการแก้ไขปัญหา
     ภาพคลิปในโรงหนังของเด็ก  เป็นความผิดของเด็กผุ้ชายที่ทำมิดีมิร้ายกับเด็กผู้หญิง เป็นความผิดของเด็กผู้หญิงที่ไม่ปกป้องศักดิ์ศรีของตนเอง หรือ เป็นความผิดของโรงหนังที่ติดกล้องวงจรปิด  เป็นความผิดของพนักงานที่เผยแพร่คลิปนี้  เป็นความผิดของโรงเรียนที่ปล่อยเด็กเร็วเกินไป   เป็นความผิดของคนขายตั๋วที่ขายตั๋วให้เด็กที่มากันสองคน  เป็นความผิดของครูที่ไม่สั่งสอนว่าห้ามมีอะไรกันในโรงหนัง  เป็นความผิดของพ่อ-แม่ที่ไม่สร้างจิตสำนึกให้เป็นภูมิคุ้มกันแก่เด็ก  เป้นความผิดของรัฐที่ให้การศึกษาแบบจบง่ายๆไม่ต้องรับผิดชอบให้กับเด็ก  เป็นความผิดของทุกคนที่ดูคลิป!!...ความผิดของใครครับ???

วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ดูงานโรงเรียนสังกัด อบจ.ภูเก็ต

     เคยโพสต์บล๊อกไว้ว่าจะมีภูเก็ตภาค 2 ต่อ แต่ไม่รู้จะเขียนอะไร จริงๆอยากเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการไป"เที่ยว" แต่ก็เห็นว่าหลายคนๆ ก็ได้ไปทริปอื่นๆกัน เล่าไปคงเบื่อ แถมคนไม่ได้ไปจะเคืองว่ามาเล่าให้อิจฉาตาร้อนอีก ดังนั้นเอาเป็นว่า ผมเล่าเรื่องการไปดูโรงเรียนสังกัด อบจ. ของภูเก้ตก็แล้วกัน
     โรงเรียนสังกัด อบจ.ภูเก็ตที่เราไปดูงาน มี 2 โรงเรียน คือ โรงเรียนบ้านบางเหนียว และโรงเรียนปลูกปัญญา  ก่อนอื่นผมขออนุญาตกล่าวขออภัยก่อน หากข้อความใดผิดพลาดจากความเป็นจริง เพราะการไปดูงานคราวนี้อาศัยการ ฟัง และ จำ ล้วนๆ จะมีก็เพียงภาพถ่ายที่บันทึกมา
     โรงเรียนสังกัด อบจ. ก็เหมือนกับโรงเรียนสังกัด กทม. ของเรานั่นเอง คือ เป็นโรงเรียนของการปกครองส่วนท้องถิ่นเหมือนกัน มีเจ้านายเป็นข้าราชการสายปกครองหรือข้าราชการสามัญเหมือนเราทุกประการ ดังนั้น เขาก็น่าจะเหมือนเรา ไม่น่าจะแตกต่าง  แต่ ไม่เป็นเช่นนั้นครับ พอไปดูไปฟังบรรยายแล้ว ถ้าไม่ใช่ปลูกผักชีนะ ผมว่าโรงเรียน อบจ. นี่น่าสนใจหลายเรื่อง  ผมจะพูดถึงเรื่องที่ผมคิดว่าเด็ดๆ และมีความเหมือนกันของทั้งสองโรงเรียนที่ไปดูก็แล้วกัน
     ทั้งสองโรงเรียนที่ไปดูงาน เขามีการเตรียมการใหญ่โตเหมือนจะมีผู้ใหญ่มาตรวจราชการอย่างไรอย่างนั้น โรงเรียนเทศบาลบ้านบางเหนียวเตรียมวงดนตรี นักเรียนตั้งแถวรับจนผมรู้สึกแปลกใจเลย พอเข้าห้องประชุม ทั้งสองโรงเรียนมีผู้เกี่ยวข้องมาต้อนรับจนแน่นห้องประชุมไปหมด นายก อบจ.  ศึกษาฯ  ผู้บริหาร  สมาคมผู้ปกครอง  ศิษย์เก่า  เครือข่าย เรียกว่ามากันครบเลย จนการบรรยายภาพรวมโรงเรียนกลายเป็นภาพละเอียดไปเลย
     ในส่วนของการบรรยาย เท่าที่ฟังนโยบายก็คล้ายๆกัน คล้ายเรา คือ มีนโยบาบ วิสัยทัศน์ ซึ่งแน่นอน ย่อมแตกต่างกัน แต่เรื่องที่ผมต้องมาหยุดสนใจฟังคือ ทั้งสองโรงเรียน ผู้บริหารชอบออกตัวว่า เป็นโรงเรียนภูธร อะไรก็สู้ กทม. ไม่ได้ งบจังหวัดก็จำกัด ไม่มากมายเหมือน กทม..... แต่ที่ผมเห็นตัวเลขงบประมาณของโรงเรียนบนสไลด์นี่...ไม่น่าจะภูธรเลย ได้ยินคนลือกันมานานแล้วว่า โรงเรียน อบจ. งบเลยอะ แต่ผมไม่คิดว่ามันจะเยอะถึงขนาดตัวเลขงบ 9 หลัก ในระยะ 4-5 ปี (ผมเข้าใจว่า เขาคงพยายามจะสื่อว่า อบจ.ชุดนี้ให้เงินโรงเรียนมาเท่าไหร่แล้ว) ของจตุจักรเรา ศึกษาเขตบอกว่าบางปีงบอยู่ที่ 5 - 6 ล้าน แบ่งใช้ 7 โรงเรียน นี่อาจเป็นเพราะ"การเมือง" ฟังแล้วแอบอิจฉา แต่เราก็ไม่รู้ว่า งบที่ต่างกัน จะมีโครงสร้างการใช้งบที่ต่างกันหรือไม่ คือเขาได้เป็นสิบล้าน ร้อยล้าน แต่อาจต้องจัดสรรเงินเดือนครูเองหรือเปล่า...
     เรื่องที่สองที่แอบอิจฉาคือพื้นที่ของโรงเรียน ทั้งสองโรงเรียนมีพื้นที่กว้างขวางหลายสิยไร่ มีห้องเรียนมากมาย สนามกว้าง มีโรงอาหารที่เป็นโรงอาหาร ซึ่งช่างแตกต่างจากโรงเรียน กทม.จริงๆ ที่จะมีเหมือน กทม. ก็คือ มีตั้งแต่อนุบาลจนถึงมัธยมนี่แหละครับ  ที่น่าสนใจคือ เขาให้ความสำคัญกับห้องพิเศษ เช่น ห้องวิทย์ ห้องโสต ห้องคอม มาก ถึงกับมีการจัดงานหางบมาสร้างห้องพิเศษพวกนี้ ผอ.โรงเรียนปลูกปัญญาชวนผมไปดูห้องถ่ายทอดทีวีของโรงเรียน เห็นแล้วก็อึ้งๆ เพราะโรงเรียนดูภูมิใจมากเพราะกว่าจะได้ห้องและระบบนี้มา มันใช้งบเยอะมาก มีนักเรียนชมรมจัดรายการออกอากาศ แม้ขณที่เราไปดูงาน นักเรียนก็เชิญคณะดูงานไปสัมภาษณ์ออกรายการ ...แต่ของเราสิ...


     เรื่องข้างบนอาจจะดูทำยากไปนิด เรามาดูเรื่องเบาๆกันบ้าง โรงเรียนเทศบาลบ้านบางเหนียว ใช้นักเรียนในการต้อนรับคณะดูงานจำนวนมาก ทั้งแจกของว่าง แจกเอกสาร การแสดง ผมสังเกตุเห็นว่า นักเรียนบางคนมีเข็มอันใหญ่ๆ ติดอยู่ที่เสื้อ แต่ไม่ได้มีทุกคน ถ่ายรูปมาดูก็เห็นว่า เข็มมีข้อความว่า "คนดีศรีบาเหนียว" ... เหมือนคนดีศรี มปน. เลยครับ นักเรียนเล่าให้ฟังว่า มาจาการคัดสรรโดยครูเลือกมาตรงๆเลย ไม่ได้ส่งชื่ออะไรทั้งนั้น แล้วก็มีคนได้เยอะ ในห้องเรียนของนักเรียนคนที่ผมคุยด้วย มีคนได้เข็มนี้ประมาณครึ่งห้อง บางคนได้มาตั้งแต่ประถม บางคนเพิ่งได้  นักเรียนตอบได้อย่างฉะฉานเหมือนซ้อมมาว่า คนดีของเขาคือ เรียนดี มีคุณธรรม และมีจิตอาสา(ประมาณนี้ครับ)
     ออกมาข้างนอก เดินไปดูสภาพรอบโรงเรียน ดูโรงเรียนปลูกปัญญาจะดูดีกว่า ดูเหมือนพื้นที่ฝั่งหน้าโรงเรียนหลายๆส่วน ได้รับการปรับปรุงเมื่อไม่นานมานี้ ผมชอบใจอยู่ 3 จุด คือ
1. สนาม โรงเรียนปลูกปัญญามีนักกีฬาทีมโรงเรียนฝึกซ้อม เช่น วอลเล่ย์ และบาสฯ เขามีการรองเบาะที่สนาม ป้องกันการบาดเจ็บ ที่สำคัญนักเรียนของเขาไม่ใช้เตะฟุตบอล คนเตะบอลจะไปใช้อีกสนามหนึง
2. ตู้โทรศัพท์ ผมไม่รู้จะบรรยายอย่างไร ดูภาพก็แล้วกันครับ
3. ห้องสมาคมผู้ปกครอง  เป็นการสร้างขึ้นใหม่ใต้อาคารที่เคยเป็นโถงโล่ง มีคนของสมาคมอยู่ในห้องเสมอ (โดยมากเป็นผู้ที่อายุเกิน 60 แล้ว จะมานั่งคอยช่วยเหลือโรงเรียนอยู่ที่นี่ ดีกว่าไปนั่งที่อื่น...ฟังแล้วซึ้งจัง)

     ตอนออกจากโรงเรียนเทศบาลหลบ้านบางเหนียว ผมเดินไปข้างโรงเรียนไปซื้อน้ำดื่ม พอเดินไปถึงข้างโรงเรียน ก็พบภาพแปลกตา แต่ไม่แปลกใจอยู่ 1 ภาพ และภาพแปลกตาและแปลกใจอีก 1 ภาพ ผมต้องย้อนไปเอากล้องที่รถมาถ่ายภาพนี้ นั่นก็คือ ภาพอาคารของโรงเรียนที่อยุ่ติดถนนซอยโดยไม่มีรั้วกั้น แปลกตรงที่สร้างได้อย่างไร มันผิดระเบียบโยธาฯหรือเปล่า แต่ภาพที่ซ้อนกันอยู่อีกภาพคือ ที่จอดจักรยานยนต์ครับ...ผมสอบถามร้านขายน้ำว่ารถพวกนี้ของใคร ทำไมมาจอดแบบนี้ ผมได้คำตอบตามคาดครับ จักรยานยนต์ของนักเรียนและพนักงานของโรงเรียนแต่ไม่ใช่ของครู ครูจะจอดข้างใน...
ผมแกล้งถามต่อว่า ทำไมเด็กต้องขี่มอเตอร์ไซด์มาโรงเรียนด้วนนะ ผมโดนเจ้าของร้างตอกเลยว่า ภูเก็ตมันไม่ได้เดินทางสะดวกเหมือนกรุงเทพนะคุณ เด็กที่ขี่มอเตอร์ไซด์มามักเป็นเด็กที่บ้านอยู่นอกเส้นทางรถประจำทาง...สรุปคือขี่มาเพราะจำเป็น...ความจริงผมก็แกล้งถามไปอย่างนั้นแหละครับ ประชดตัวเอง...เพราะโรงเรียน กทม.ของเราอยู่กันกลางชุมชน รถประจำทางก็มากมาย ส่วนมากบ้านเด็กก็อยู่รอบๆโรงเรียน เพราะเรามีโรงเรียนบริการในพื้นที่เยอะ เดิน 5 นาทีก็ถึงโรงเรียนแล้ว่ แต่นักเรียนก็ขี่มอเตอร์ไซด์มาโรงเรียน บางคนบ้านอยู่คอนโดฯ ยังขี่มาเลย ไม่รู้ว่าจำเป็นอะไรนักหนา โรงเรียนก็อนุญาต แถมให้มาจอดข้างในได้...จอดกันเป็นสิบๆคัน แล้วก็ขโมยอะไหล่กัน ทำล้มกัน ขี่เล่น แว้นกันในโรงเรียน ผมว่ามันดูอันตราย เพราะเด็กขี่รถกันด้วยความคนองตามวัย เป็นแฟชั่นมากกว่าความจำเป็น...โรงเรียนยอมให้จอดในโรงเรียนก็เพราะสงสารกลัวว่าจะหาย...มันกลายเป็นการส่งเสริมหรือเปล่า...ตอนที่ผมไปอบรมทำหลักสูตรที่อุบล ผ่านไปดูงานโรงเรียนตั้งหลายโรงเรียน ผมก็เห็นว่าเด็กจอดจักรยานยนต์นอกโรงเรียนทั้งนั้น เพราะต่างจังหวัดรถโดยสารมันลำบาก บางโรงเรียนข้างโรงเรียนมีจักรยานยนต์นักเรียนจอดเรียงกันเป็นร้อยๆ  โรงเรียนสังกัด สพฐ. ในเขตกรุงเทพฯ เขาห้ามนักเรียนนำรถยนต์รถจักรยายนต์มาโรงเรียนกันทั้งนั้น อย่าว่าแต่ขี่เข้ามาในโรงเรียนเลย เอาไปแอบจอดตลาดนัดหน้าโรงเรียน ครูเห็นยังโดนเรียกผู้ปกครองเลย...เขาไม่ส่งเสริม เขาห้าม เพราะเขาเป็นห่วงเรื่องอุบัติเหตุ มากกว่าห่วงเรื่องสิทธิส่วนบุคคล!!

วันพฤหัสบดีที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ไป รนบ.

     รนบ. หรือ โรงเรียนราชวินิตบางเขน โรงเรียนสังกัด สพม. ซึ่งอยู่ใกล้เรานี่เอง...แล้วทำไมต้องพอโพสต์บล๊อกด้วยล่ะ?
ก็เพราะว่ามันรู้สึกแปลกๆ น่ะสิครับท่าน
     เมื่อวานนี้ในที่ประชุมตอนท้ายๆ(จริงๆ ช่วงนั้นกำลังเคลิ้มเลย) อยู่ๆ ก็ได้ยินชื่อตัวเอง! อุ๊ย.ตกใจ เรื่องอะไรหว่า...ตอนแรกก็นึกว่าเรื่องเข็มเรียนดี ที่ไหนได้ เรื่องไป รนบ. กับครูประจวบนี่เอง...แล้วทำไมต้องไป?
     เรื่องมีอยู่ว่า ทางโรงเรียน รนบ.(ผมขอใช้ชื่อย่อก็แล้วกันนะครับ ไม่เช่นนั้นต้องพิมพ์ชื่อเต็มตลอดเลย เพราะเขามีหลายราชวินิตเหลือเกิน..เดี๋ยวจะพาดพิง) มีโครงการสร้างสัมพันธ์(อันดี) หรือจะเรียกว่าสร้างภาพพจน์ที่ได้ก็ได้ ในส่วนของนักเรียนนะครับ ครูน่ะดีอยู่แล้ว   เพราะโรงเรียนเรากับ รนบ. มีปัญหากันบ่อย ทาง รนบ. ก็เลยทีโครงการจะนำนักเรียน รนบ. มาไหว้ครูเราในวันไหว้ครู แต่เผอิญว่า รนบ.ไหว้ครูก่อนเรา คือวันนี้(14 มิ.ย.55) เราก็เลยต้องไปก่อน
     ครูประจวบคัดนักเรียนไว้กลุ่มหนึ่ง ซึ่งผู้บริหารบอกว่าไม่เอาเด็กดีๆเรียบร้อยๆไปหรอก เอาพวกหัวโจกนี่แหละไป ก็ได้กลุ่มนี้แหละครับ หัวโจกพี่จวบ...


     เราไปถึง รนบ. ตอนประมาณ 8 โมง ปรากฎว่าเขากำลังจะเริ่มพิธีเลย ไม่ว่ารอเรารึเปล่า...ช่วงที่รถเลี้ยวเข้าซอยชินเขต บรรยากาศในรถดูตื่นเต้น มีการชี้ดูนั่นดูนี่กันไหญ่ ส่วนมากก็จะดูเด็ก รนบ. กันนั่นแหละ...แหม ...เตรียมหาทางหนีทีไล่กันไว้เชียว ทำอย่างกับครูจะปล่อยลงกลางทางซะงั้น...พอถึงโรงเรียนยิ่งไปกันใหญ่ มีครูฝ่ายปกครอง รนบ. มารับ เขาให้จอดรถตรงหน้าประตู มีเสียงในรถดังขึ้นทันทีเลย "โห..ลงตรงนี้เลยเหรอ" เปิดประตูแล้วมันยังเกี่ยงกันลง อะไรจะเสียวขนาดน๊านนน...
     ทาง รนบ. เขาเชิญให้ทั้งครูเราทั้งเด็กเราไปนั่งด้านหน้า!! นั่นหมายถึงเราต้องเดินไปตามทางเดินผ่านนักเรียน รนบ. ทั้งโรงเรียน!! ครูของเขาก็เดินนำไป ครูประจวบเราก็เดินตาม แต่ไอ้นักเรียนเราเนี่ยสิ ยิ่งเดินยิ่งห่างจากครูประจวบมากขึ้นๆ มันขาอ่อนกันรึไง? ไม่มีแรงจะเดิน เร่งยังไงความเร็วก็ไม่เพิ่ม แต่ก็เห็นไหม...ทุกคนก็ไปถึงที่นั่งโดยสวัสดิภาพ ไม่เห็นมีอะไรเลย..ร้อนตัวนี่หว่า
     พิธีการของ รนบ. ดูเรียบง่าย รวดเร็วดีจริงๆ เขาก็เข้าแถวเรียงตามห้องเหมือนของเรา แล้วครูที่ปรึกษาก็นั่งตรงหัวแถวของแต่ละห้อง คณะผู้บริหารก็นั่งก่อนห้อง 1/1 ...เขาสั่งซ้ายหันทีเดียวทุกคนก็พร้อมเริ่มพิธีได้เลย ตั้งแต่ประธานมาจนเจิมหนังสือ ใช้เวลาแค่ 15 นาที เพราะเขาไม่เดินเลย พานก็อยู่ตรงหน้าแถวอยู่แล้ว กราบทีเดียวจบเลย...แต่ตอนก่อนเริ่มพิธีนี่สิ...ครูปกครองต้องมาปราบเสียงนักเรียนตั้งนาน จนต้องเป่านกหวีดใส่ไมค์ถึงจะเงียบได้ นานกว่าตอนทำพิธีอีก...แสดงว่าเด็กเราก็ไม่ผิดปกติหรอก ที่มันจะคุยกันตอนอยุ่หน้าเสาธงไม่ฟังใคร
     เราขนคนไปตั้งเยอะ แต่พอถึงคิว เขาให้แค่ตัวแทน 2 คน เข้าไปไหว้ ผอ. แป็ปเดียว 5 วินาทีเอง แต่ทุกคนก็ได้รับเชิญให้ไปถ่ายรูปกันท่าน ผอ.  ... ครูประจวบรีบชิ่งเลย พอบอกถ่ายรูปเนี่ย กลัวกล้องรึไงครับ?  เหมือนผมแหละ ไม่ชอบถ่ายรูป ถึงได้หากล้องมาถือไง จะได้ไม่โดนถ่าย อิอิ...
     ผมว่า...กิจกรรมนี้ดู(จะ)ดี ต้องรอดูตอนที่นักเรียน รนบ. มาไหว้ครูของเรา แล้วก็คงต้องรอดูผลในระยะยาวต่อไป ซึ่งผมต้องขอชื่นชมในความพยายามในการแก้ไขปัญหานักเรียนตีกันของโรงเรียนราชวินิตบางเขนด้วยครับ แม้จะเป็นจุดเล็กๆ แต่ก็หวังว่าคงมีกิจกรรมส่งเสริมความสัมพันธ์อันดีอย่างอื่นๆต่อไป เช่น อาจจัดแข่งขันตอบปัญหาทางวิชาการร่วมกัน หรือ เข้าค่ายสลับโรงเรียนกัน คือ เอานักเรียน รนบ. มาเข้าค่ายนอนที่ มปน.  เอานักเรียน มปน.ไปเข้าค่ายนอนค้างที่ รนบ. ทั้งสองโรงเรียนอาจจัดพี่เลี้ยงคนละโรงเรียนมาช่วยกิจกรรม ทำนองนี้ จะช่วยเสริมความสัมพันธ์ได้ดี
     แต่ผมว่า...เราแก้ปัญหาไม่ถูกที่คัน... และเราดูกังวลกับปัญหานี้ไม่ค่อยตรงจุด เพราะจากการศึกษาโดยการสอบถามนักเรียนของเรา(มปน.) พบว่า นักเรียน มปน. - รนบ. เป็นเพื่อนรู้จักกันเป็นจำนวนมาก เป็นเพราะนักเรียนทั้งสองโรงเรียนอยู่ในพื้นที่เดียวกัน หลายคนเคยเรียนที่เดียวกันมา เช่น โรงเรียนรัตนโกสินทร์ฯ  วัดเสมียนฯ หรือ ประชานิเวศน์
     เท่าที่สอบถาม(สอบสวน)นักเรียนที่มีเรื่องกับ รนบ. ทั้งชายและหญิง พบว่า ส่วนใหญ่ เด็กรู้จักกัน เป็นเพื่อนกัน อยู่กลุ่มเดียวกัน บ้านใกล้กัน แต่ทะเลาะกัน โดยจุดเริ่มต้นของการทะเลาะเบาะแว้ง ไม่เกี่ยวกับสถาบัน บ้างเป็นเรื่องชู้สาว เรื่องเงินทอง มองหน้ากันตอนอยู่แถวบ้าน  แต่ที่กลายมาเป็นศึกระหว่างโรงเรียนเพราะมีคนพยายามนำเรื่องสีมาเกี่ยวข้อง เพราะเด็กสมัยนี้ทะเลาะกันแปลก  มองหน้ากัน ข้องใจกัน ด่ากัน แต่คู่กรณีจะไม่ลงมือต่อกัน แต่จะไป"ฟ้องเพื่อน"แทน  แล้วคำที่ไปฟ้องนี่แหละที่ทำให้กลายเป็นศึกระหว่างโรงเรียน...เพราะเด็กไม่มีอะไรจะสื่อให้เพื่อนฟังได้ว่า คู่กรณีของตนเองคือใคร นอกจากบอกว่าเป็นเด็กโรงเรียนไหน แล้วคนที่ไปฟ้อง มักเป็นพวกหัวรุนแรง อยากใช้กำลัง เป็นหัวโจก แต่จริงๆแล้วเด็กพวกนี้รักเพื่อน พอเพื่อนมาบอกว่า โดนเด็กโรงเรียนนั้นหาเรื่อง...หัวโจกพวกนี้ก็พร้อมจะต่อยทุกคนที่อยู่โรงเรียนนั้น ที่สำคัญ กลุ่มของเด็กมักมีมากกว่าเพื่อน คือ จะมีรุ่นพี่อยู่ในกลุ่ม บ้างก็มีเด็กนอกระบบการศึกษาอยู่ในกลุ่ม การทะเลาะวิวาทจึงเพิ่มความรุนแรงเป็นยกพวกตีกันเป็นกลุ่มใหญ่ ซึ่งจุดนี้เองที่ผมว่าเราต้องเปลี่ยนมุมมองใหม่ ว่าปัญหา"ตีกัน" มันเริ่มจากใครกันแน่???
     สุดท้าย ขอขอบคุณผู้บริหาร คณะครูของทั้งของ รนบ. และ มปน. ที่เห็นความสำคัญของปัญหา และพยายามแก้ปัญหาในเชิงรุก ดีกว่าปล่อยให้เกิดเหตุแล้วตามไปแก้ไข น้องๆนักเรียน ก็ดูตัวอย่างของคุณครูนะครับ เพราะท้ายที่สุด ไม่ว่าเราจะจบจากโรงเรียนอะไร เราก็มีโอกาสที่จะอยู่ร่วมสถาบันเดียวกันในอนาคต... ยกตัวอย่างเช่นครูเป็นต้น มาจากหลากหลาย สุดท้ายกลายเป็นคนร่วมอาชีพเดียวกัน ถ้าสืบว่าครูแต่ละคนจบมาจากที่ไหน อาจพบว่าหลายคนอาจจบมาจากโรงเรียนที่ไม่ค่อยจะถูกกัน แต่ก็ไม่มีใครถามถึง แม้จะรู้ก็ไม่มีใครคิดจะเอาเรื่องอะไร หรือ บางครั้งคู่กรณีในอดีตอาจมาเป็นครูโรงเรียนเดียวกันแล้วมาเจอกันด้วยซ้ำ เพราะพอพูดถึงเรื่องนี้ ทุกคนจะหัวเราะแบบกร่อยๆ แล้วก็จะทำปากมุบมิบเบาๆว่า  "...โคตรงี่เง่าเลยตอนนั้น..."

วันอังคารที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ดูงานภูเก็ต (ผจญภัยคนเดียว 1 วัน)

     เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผมได้ไปทัศนศึกษาดูงานกับเพื่อนครูที่ต่างจังหวัด จริงๆแล้วน่าจะเป็นครั้งแรกตั้งแต่ย้ายมาโรงเรียนนี้ด้วยซ้ำไป เพราะตลอดช่วงชีวิตที่ผ่านมาผมหมกมุ่นอยู่กับการทำวงดนตรีของโรงเรียนมาโดยตลอด ซึ่งในที่สุดแนวทางอุดมการณ์ในการทำวงดนตรีเพื่อให้เด็กมีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ หรือ พูดง่ายๆว่าเป็นคนดีนั่นแหละ ถูกสรุปว่า "ไม่ประสบความสำเร็จ" เพราะไม่มีถ้วยรางวัลเลยแม้แต่ถ้วยเดียว แต่ผมก็ไม่เคยใส่ใจเพราะคิดว่า สิ่งที่เราทำให้เด็กจนทำให้เด็กสามารถไปศึกษาต่อได้ตามความต้องการได้โดยมีความสามารถพิเศษเป็นเครื่องช่วยเหลือ เช่น การที่เด็กสามารถสอบเข้าเตรียมอุดมได้โดยใช้ความสามารถพิเศษดนตรีนั้น ผมถือเป็นความสำเร็จ แต่กลับเป็นความไม่เอาไหนที่ปล่อยเด็กที่มีความสามารถไปให้โรงเรียนอื่นในสายตาของคนอื่น เมื่อไม่ประสบความสำเร็จ(ในสายตาผู้ใหญ่)ผมก็เลิกทำ แรกๆก็เป็นทุกข์ใจ รู้สึกเหมือนชีวิตขาดสิ่งสำคัญอะไรไป แต่พอเวลาผ่านไป แม้ผมจะควันหลงกับความคิดเก่าๆอยู่บ้างจนถึงทุกวันนี้ แต่หลายๆอย่างทำให้ผมเริ่มคุ้นและรู้สึกว่า การไม่ต้องทำวงดนตรีให้โรงเรียนเนี่ย เป็นความสุขแสนประเสริฐ จนหากมีใครมาให้ผมไปทำวงตอนนี้ จ้างเดือนละหมื่นห้า ยังขอคิดดูก่อนเลย เพราะตั้งแต่ผมเลิกทำวง ผมเงินเหลือ ได้เที่ยว เย็นมาไปเดินเล่นห้าง เดินตลาด กินของอร่อยจนน้ำหนักขึ้น 4 กิโลฯ ภายในเทอมเดียว เงินเหลือจนเปลี่ยนรถได้ ซื้อกล้องตัวละห้าหมื่นมาถ่ายรูปขาย พอมีกล้องก็อยากไปถ่ายรูปที่นั่นที่นี่ มีเพื่อนครูต่างโรงเรียนหลายๆคนที่ชื่นชอบการถ่ายรูปเป็นเพื่อนคุย ขอบอกว่าสนุกละกัน สุดท้ายผมก็ได้ไปภูเก็ต ที่ซึ่งเคยฝันว่าจะหาเวลาไป ก็ได้ไปล่ะทีนี้
     เริ่มเดินทางวันที่ 13 พ.ค.55 ตอนเช้า (จริงๆ เพื่อนเขาเดินทางกันตั้งแต่ 4 โมงเย็นวันที่ 12 แล้ว) ด้วยผมติดธุระ ประกอบกับผม"กลัวการนั่งรถไกลๆ" ผมจึงบ่ายเบี่ยงไปเครื่องบิน(ตามฟอร์ม) ใช้สิทธิ์ครอบครัวพนักงานเจ้าหางม่วงจองตั๋ว 25% ไปกลับ เบ็ดเสร็จ 2 พันเศษๆ ได้นั่ง C seat ด้วย แถมพอไปดูเครื่องที่บินไปภูเก็ต โอ้โฮ้เหะ!...มีแต่แรงๆ 777 งี้ ...747 งี้...มี 330 ด้วย เอาละวะ...ไม่เคยนั่ง 330 ซักทีขอลอง... ปรากฎว่า ขาไปด้วยจำกัดเวลาที่ต้องไปดักเพื่อนๆที่ภูเก็ต เลยต้องไปเที่ยวเช้า มีแต่ 747-400 ...เอาก็เอา ไม่ได้เจอกันนาน Upgrade รึยัง...ยัง! เหมือนเดิมเลย...ขึ้นไปได้ที่นั่งเด็ด ติดประตู!(ประตูอยู่ข้างหน้า) โล่งเชียว..เสียวน่ะ..ไม่มีอะไรอยู่ตรงหน้ามันรู้สึกแปลก นั่งไปก็หลุกหลิกๆ ถ่ายรูปไปด้วย ทำอย่างกับคนไม่เคยนั่งเครื่องบิน แต่จริงๆคือ ไม่เคยนั่งเครื่องบินแล้วถ่ายรูป...เกรงใจพนักงาน เพราะอย่างที่รู้กัน เรื่อง(อ้าง)ความปลอดภัยของการท่าฯ ถ่ายรูปตรงนั้นก็ไม่ได้ตรงนี้ก็ไม่ได้ แต่ถ่ายคนเป็นที่ระลึก(ก่อนจาก)ถ่ายได้ทุกที่แฮะ อยู่หน้า Gate ยกกล้องถ่ายรูปเครื่องบิน แป๊ปเดียว ยามเดินมาล่ะ "ห้ามถ่ายภาพนะครับ" แล้วคุณ 2-3 คน เกาะกระจกแอ๊คท่าถ่ายเครื่องบินเป็น Background ถ่ายได้เว้ย..งง แล้วตูมาคนเดียวจะทำยังไง ก็เลยหลอนๆ กล้าๆกลัวๆเวลาจะถ่ายภาพในสนามบิน...กลัวโดนยึดกล้อง!
     747-400 ใช้เวลา 1 ชม. 10 นาที เพราะหนัก กว่าจะเลี้ยว กว่าจะวน เลยใช้เวลานานกว่า Fleet เล็กๆ นิดหน่อย ผมได้ย้ายที่นั่งตามคำแนะนำของลูกเรือว่า ชอบถ่ายรูป(เหมือนผม)ต้องนั่งขวา เพราะตอนเข้าภูเก็ตจะเห็นเกาะมากมาย ก็เลยได้ย้ายที่นั่งไปนั่ง First Class ซะเลย (เห็นม๊ะ...กล้องสร้างเพื่อน เพิ่มโอกาสให้ผมอีกแล้ว) แต่เสียดาย เมฆขมุกขมัวตลอดเส้นทาง มองเห็นไกล visible 9999 แต่ถ่ายรูปไม่ชัดเลย แสงฟุ้งเพราะสะท้อนเมฆ ยิ่งตอน Final (ระยะสุดท้ายก่อนถึงสนามบิน) เครื่องบินอยู่ในระดับต่ำกว่า 2000 ฟุตแล้ว เมฆก็ยังมีกวนใจตลอดจนถ่ายรูปออกมาฟุ้งทั้งหมด แย่จัง
     ถึงภูเก็ตผมไม่รอช้า รีปติดต่อเพื่อนครูทันทีว่าอยู่ตรงไหนกัน ได้คำตอบว่า อยู่ถลาง ผมศึกษามาแล้วว่านั่ง Airport Bus ไปได้ ผ่านพอดี แต่เจ้ากรรม กว่ารถจะออก(1ชม.30นาที) ไม่ตรงเวลาอีกต่างหาก เพื่อนๆก็เคลื่อนตัวออกจากถลางไปแล้ว แล้วไปร้านอาหาร ผมรู้ทันทีเลยว่าความซวยมาเยือนแล้ว ไปวัด ไปชายหาด ไปโรงแรม ก็พอถามได้เพราะมันจะเป็นความรู้ของคนรถ คนที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวอยู่แล้ว แต่นี่ร้านอาหาร..."ลมทะเล" ถามใครก็ได้คำถามกลับมา อยู่ตรงไหน...เวรกรรม ผมก็ไม่รู้ เพื่อนครูก็ไม่รู้ เอาละสิ...ผมตัดสินใจนั่งรถสุดสายเข้าเมืองเลย กะไปแก้ปัญหาตรงนั้น รอให้เขาไปอีกที่นึงแล้วค่อยตามไป ค่ารถ 95 บาท ถึงขนส่ง(เ่ก่า) ไม่รู้ทำอะไร ซื้อถ่านต่อ GPS เพราะถ่านเก่ามันเกเร ดับตั้งแต่ยังไม่เปิดเลย แบต Android มันก็เริ่มไม่จำไฟซะแล้ว Search ดูร้านอาหารที่ว่า อยู่แถวๆสวนสัตว์ แกล้งถามวินมอเตอร์ไซด์ว่า จะไปเที่ยวสวนสัตว์ไปยังไงได้บ้าง คำตอบคือ เหมารถอย่างเดียว ราคาอยู่ที่ 300 - 400 บาท ระยะประมาณ 20 กิโล!!! นี่ไง ความน่าเบื่อของภูเก็ต ไข่มุกอันดามัน แหล่งท่องเที่ยวระดับโลก ทั้งจังหวัดมีรถประจำทาง 4 สาย วิ่งวนอยู่แต่ในเมือง ไม่มีสายไหนเลยไปถึงแหล่งท่องเที่ยว สถานที่สำคัญ อ่าวต่างๆ จะไปต้องว่ารถเหมาอย่างเดียว ราคาก็สุดโหด ที่สำคัญคือ ใครเป็นใครก็ไม่รู้ รถเถื่อนไม่เถื่อนแยกไม่ออก ต่างคนต่างกลัว ทั้งคนขับทั้งผู้โดยสาร...ผมได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนครูว่า เป้าหมายต่อไปคือวัดฉลอง คงถึงประมาณบ่ายโมง ซึ่งดูนาฬิกาแล้วผมมีเวลาประมาณ 2 ชม.เศษๆที่จะหาวิธีไป ผมตัดสินใจลองเดินสำรวจหารถประจำทาง ไปเจอป้าย(ฟ้อง)ว่า ไม่มีรถประจำทางสายไหนไปถึงวัดฉลอง ผมเดินหารถจะว่าเหมาไปวัดฉลองด้วยความจำใจ(แล้วนี่) ขืนชักช้าจะคลาดกับเพื่อนๆอีก ได้รถตู้คันหนึ่งคนขับเดินมาทักผมตอนที่กำลังลังเลใจว่าจะกินข้าวหมูกรอบฝั่งนี้ หรือจะกิน MC ฝั่งตรงข้ามดี เดินเข้ามาถาม ผมก็เริ่มต่อเลย จริงๆก็ยังไม่ได้ตั้งใจว่าจะไป ก็เลยไม่ค่อยแคร์ บอกไปวัดฉลอง พี่แกฟันทันที 500 ผมก็ตอบทันที Nooooo ผมจ่อเลยไม่เกรงใจว่า "เคยไป 300 เอง" คนขัยสวนทันควันไม่ต้องคิดเลย 400 อะ ถ้าไปกลับด้วย 650 ...ผมยืนยัน 300 ไม่มองหน้าทำท่าจะเดินหนี(เข้า Mc) ปรากฎว่าพี่แก OK ผมเลยไม่กินข้าวเลย กลัวพี่แกจะเปลี่ยนใจขึ้นราคา พอไปถึงรถแกให้ผมไปรอในรถ ส่วนพี่แกไปเรียกเมียมานั่งไปด้วย..ผมว่าแล้ว แกก็กลัวผมเหมือนกัน...ผมก็กลัว...ทำไม่จังหวัดถึงไม่ทำเรื่องการเดินทางให้เป็นระบบซะที(วะ)
     ไปถึงวัดฉลอง ผมเริ่มเดินถ่ายรูปทันที แดดแร๊งงงง คนเยอะพอควร จุดประทัดตลอด ที่วัดนี้เขาไม่จัดประทัดกันเกลื่อนกลาดนะครับ มีปล่องคล้ายเตาเผาสูงๆ ไว้จุดประทัดข้างใน มีเจ้าหน้าที่คอยบริการด้วย  ซักพักรถบัสเพื่อนๆก็มาถึง ผมงี้ดีใจเลยหลังจากแกร่วอยู่คนเดียวนาน พอเพื่อนๆลงรถมาผมล่ะ โอ้ววว...ม.2 นี่ยกสายกันมาเลย หลายคนก็นางแบบทั้งนั้น แช๊ะ ๆ ๆ ...ผมใส่แหลก เพื่อนก็เรียกให้ถ่ายรูป ด้วยเพราะมีเสียงเพื่อนครูด้วยกันบอกว่า กล้องผมถ่ายรูปออกมาสวย...เห็นม๊ะ..เครดิตกล้องอีกละ...กล้องแพงก็เงี้ย...แต่ความลับคือ ผมถ่ายรูปด้วยไฟล์ RAW ตลอด แล้วก็แต่งทุกภาพครับ ใช้เวลาเป็นวันๆ แต่ก็มีความสุขดีกับการที่ทำให้คนในรูปออกมาดูดี ตัวแบบก็พอใจ ผมก็มีความสุข 555+
     หลังจากออกจากวัดฉลองราวๆ 4 โมงเย็น เป้าหมาย(ในกระดาษ) บอกว่า "ชมพระอาทิตย์ตกที่แหลมพรหมเทพ"...ฮูยส์... เนี่ยแหละเป้าหมายที่สองของการมาภูเก็ตของผม  ถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกทะเล แถมเป็นพื้นที่ดังซะด้วย...เอาละวะ งานนี้ของซักร้อยสองร้อยภาพก็พอกันพลาด...มีการแวะพักที่หากราไวย์ รถไปจอดตรงสะพานปลา(มั๊ง) เป็นบริเวณที่โดนซึนามิถล่มแต่ไม่จัง แล้วทำใหม่บางที่ยังไม่เสร็จเลย พากันเดินลงไปถ่ายรูป สนุกสนาน เริ่มมีคนเรียกผมมากขึ้นกว่าตอนอยู่วัดฉลอง (เพราะผมเลิกทำตัวแปลกๆ) แถมรอบนี้มีกล้องหลายตัว ทั้งหมดเป็น Canon (TT) จุดนี้ผมได้วางกล้องมุมเดียวกับ 7D ขอครูวอฯ หลายมุม เริ่มรู้แล้วว่า สงสัยตูจะไม่เหมาะถ่ายภาพวิว เพราะมองเท่าไหร่ก็หาจุดไม่เจอ ถ่ายออกมามันรกไปหมด ไม่เหมือนที่ครูว.ถ่ายเลย ดูดีไปหมด ขนาดเลียนแบบมุมแล้วยังออกมางั้นๆ...ฝนตกเป็นระยะๆ ต้องเข้าไปหลบในศาลา มีเพื่อนครูต่างโรงเรียนมาขอดูกล้อง (ไม่รู้เพราะเป็น Nik หรือ เพราะดูหรู) ผมเปลี่ยนเลนส์ 2 - 3 ครั้ง 35 มม. มาถ่าย Portrait บ้าง 70-300 มาซูมบ้าง มีคนมาขอ"ส่อง"ด้วย

     ออกจากราไวย์ ไปแหลมพรหมเทพ(ที่รอคอย) ปรากฎว่า ไกด์แจ้งข่าวดีว่า เรากำลังจะไป "อดดู"พระอาทิตย์ตกที่แหลมพรหมเทพ...เพราะจะออกจากแหลมฯตอน 5 โมงเย็น...ว่ะ พระอาทิตย์ตกตั้ง6โมงครึ่ง...อดเลยยย...
     เรื่องเล่าจากแหลมพรหมเทพ Blog หน้าละกันครับ

วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

หลงทาง?

     วันที่ 11 พ.ค. 2555 เป็นวันที่ผมต้องไปประชุมครูร่วมกับครูทั้งเขต ต้องทำหน้าที่เป็นช่างภาพในงานโดยไม่รู้ว่าใครสั่งการ ที่ทำก็เพราะเพื่อนครูด้วยกันบอกมา ก็ทั้งถ่ายภาพและก็ฟังบรรยายโดยวิทยากรไปด้วย ฟังมั่งถ่ายรูปมั่ง ก็เข้าบ้างไม่เข้าบ้าง ขอให้ให้เข้าใจกันตามนี้นะครับ
     ในการประชุมครั้งนี้มีการบรรยายสองหัวข้อ หัวข้อหลังเนี่ยเรื่องระเบียบราชการ ฟังดูก็เหมือนจะรู้แล้ว แต่มีสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อน แล้วก็อยากเล่าฝากถึงเพื่อนๆที่เป็นข้าราชการด้วยกันมีอยู่สองอย่าง คือ
     1. การประกันตัวผู้ต้องหา(โดยใช้ตำแหน่ง)ในคดียาเสพติด อนุญาตให้ทำได้เฉพาะ พ่อ แม่ คู่สมรส และบุตรเท่านั้น ดังนั้นอย่าเผลอไปประกันใครนะครับจะผิดวินัยได้
     2. ระเบียบราชการห้าม!เล่นแชร์เกิน 3 วง วงเงินห้ามเกิน 300,000 บาท และจำนวนคนทั้งหมดต้องไม่เกิน 30 คน (อันนี้แสดงว่าเราสามารถเล่นแชร์ในโรงเรียนได้หากไม่เกินระเบียบ)

     ส่วนหัวเรื่อง "หลงทาง?" ที่ผมขึ้นไว้นั้น เนื่องจากการบรรยายหัวข้อแรก คือ เรื่องหน้าที่และจรรยบรรณครู ซึ่งจริงๆแล้วเราๆท่านๆก็รู้กันอยู่แล้ว และต้นสังกัดหลายๆหน่วยก็จัดการอบรมเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นประจำ แต่ยิ่งฟังยิ่งตอก(ย้ำ)ข้อสงสัยของผมในเรื่องหน้าที่ของครู ซึ่งในความรู้สึกของผม หน้าที่และจรรยาบรรณตามกฎหมาย กับการปฏิบัตินั้นดูชุลมุนสับสน และขัดธรรมชาติในความรู้สึกของผมมานานแล้ว แต่ก็ไม่เคยได้ยินผู้รู้ท่านใดเฉลยหรือไขข้อข้องใจของผมซักที และผมก็ไม่เคยถามใคร เพราะรู้สึกว่า"ครู"มักเป็นผู้ไม่มีปากเสียง เขาให้ทำอะไรก็ทำหมด
     ถามว่าผมข้องใจอะไร....วิทยากรบรรยายว่า การปฏิรูปการศึกษาในบ้านเราเกิดขึ้นมา 3 ครั้ง คือ หนึ่งการประดิษฐ์อักษรไทยของพ่อขุนรามคำแหง ซึ่งทำให้เกิดตำราขึ้น   สอง.รัชกาลที่ 5 ทรงจัดตั้งโรงเรียนขึ้น ทำให้มีสถานที่จัดการศึกษาอย่างเป็นระบบ และ สามการปฏิรูปการศึกษาที่เราๆกำลังเจอกันอยู่ตอนนี้ ท่านวิทยากรบรรยายว่า การปฏิรูปครั้งที่3 เป็นการปฏิรูปวิธีการจัดการเรียนการสอน ซึ่งเรารู้จักกันในคำว่า เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญนั่นแหละ ท่านบรรยายต่ออีกว่า เป็น"หน้าที่"ของครูที่จะต้องดำเนินการจัดการเรียนการสอนให้แก่ผู้เรียน พัฒนาผู้เรียนให้ได้เต็มศักยภาพของผู้นั้น ที่กล่าวเช่นนี้ก็เพราะ นักวิชาการทุกคนต่างทราบดีว่า ผู้เรียนแต่ละคนมีศักยภาพแตกต่างกัน บางคนอ่อนเลขแต่เก่งอังกฤษ บางคนเก่งวิทย์แต่ศิลปะไม่ได้เรื่องเลย ซึ่งเป็น"หน้าที่"ของครูที่จะบริหารจัดการให้ผู้เรียน"พัฒนา"....ในการอบรมในบางครั้ง ผมได้ยินวิทยากรหลายท่านบรรยายเกี่ยวกับการวัดผลผู้เรียนว่า ครูต้องพิจารณาศักยภาพและให้คะแนนจากการพัฒนา เช่น เด็กชาย ก. เข้า ป.1 อ่านพยัญชนะไม่ได้เลย เมื่อจบ ป.1 ปรากฎว่า เด็กชาย ก. ทำได้แค่อ่าน-ท่องพยัญชนะได้ 44 ตัว ซึ่งไม่อยู่ในเกณฑ์ของหลักสูตร แต่เด็กชาย ก. ก็ไม่น่าสอบตก เพราะมีการพัฒนา....
     การบรรยายในลักษณะนี้นี่เอง ที่ทำให้ผมเกิดความสับสน คือ เกณฑ์หรือมาตรฐานช่วงชั้นตลอดจนมาตรฐานแต่ละปีที่อยู่ในหลักสูตร(2551) เป็นสิ่งที่ครูมีหน้าที่จัดการเรียนการสอนให้เด็กมีความรู้ตามมาตรฐานนั้นๆ ซึ่งขัดกับกรณีของเด็กชาย ก.  ถึงเวลาผู้บริหารก็ให้เออ..ออ..ห่อหมกไป ให้ผ่านๆเลื่อนชั้นไป พอเด็กชาย ก. เรียนถึง ป.6 ก็ไม่มีความรู้ตามเกณฑ์และมาตรฐานของ ป.6 เพราะมันก็จะต้องกระทบต่อๆกันมา ซึ่งโรงเรียนมักเรียกเด็กพวกนี้ว่า เรียนอ่อน สมองช้า พัฒนาการต่ำ ฯลฯ แต่เด็กก็ต้องสอบ O-Net แล้วพอเด็กทำไม่ได้เขตก็เอาคะแนนมาใส่วงเล็บต่อว่าครูในที่ประชุม...จริงไหมครับ
     กรณีต่อมา จะสังเกตุได้ว่า วิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหลาย ต่างบรรยายและเน้นเรื่องศักยภาพ และความแตกต่างของผู้เรียนแต่ละคน จนทำให้ครูมี"หน้าที่" จัดการเรียนการสอนแบบหลากหลายตามศักยภาพ มีการประเมินเด็กเป็นรายบุคคล มีการส่งเสริมมุ่งเน้นให้เรียนและพัฒนาศักยภาพในด้านที่เด็กมีความสามารถโดดเด่น แต่...กระทรวงศึกษากลับให้เด็กทุกคนสอบ O-Net 8 กลุ่มสาระ มีการตั้งเกณฑ์ผ่าน-ไม่ผ่าน ทุกกลุ่มสาระ นั่นหมายความว่าระบบการศึกษาคาดหวังให้ผู้เรียนทุกคนผ่านเกณฑ์ในทุกสาระวิชา   แล้วศักยภาพ ความถนัด ที่ผู้ทรงคุณวุฒิทั้งหลายชอบบรรยายบนเวทีมันหายไปไหน? แล้วผมขอถามหน่อยนะครับว่า คนเราจะเก่งทั้ง 8 วิชาไปตลอดชีวิตไหม?  หมอใช้คณิตศาสตร์ทำอะไร ใช้ไหม "แควฯ"ที่เรียนกันมาตาแทบหลุด  วิศวกรไทยที่ทำงานNASA เรียกมาท่องไฟลัมอาณาจักรสัตว์ เขาจะท่องได้ไหม...ท่านรัฐมนตรี บอกชื่อเครื่องดนตรีในวงออเครสต้าให้ถูกต้องซิ...
     พิจารณาดูให้ดี จะมีบางแง่มุมที่ทำให้ผมเห็นว่า ความคาดหวังของระบบการศึกษาขัดแย้งธรรมชาติทางสังคมอยู่ไม่น้อย กล่าวคือ มาตรฐานการศึกษาบังคับให้ครูมี"หน้าที่"จัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียนผ่านเกณฑ์ทุกคน นั่นหมายถึงนักเรียนทุกคนในประเทศย่อมมีผลการเรียนปานกลาง-ดี (ดูจากเป้าหมายเวลา สมศ มาตรวจ) ถ้าทุกคนเรียนดีหมด สมมติ ทุกคนเรียนประถมเกรดดีทุกคน ทุกคนก็ต้องเข้าเรียนมัธยมได้ ผลการเรียน ม.ต้นก้ต้องดี แล้วทุกคนก็จะได้สิทธิ์เรียนสายวิทย์ทุกคน แล้วทุกคนก็ต้องเรียนดี คะแนนสูง และทุกคนก็ต้องมีศักยภาพที่จะเรียนวิศวะฯได้ทุกคน แล้วพอจบมาทำงานเป็นวิศวะโยธา คุณจะสร้างถนนสร้างอาคารได้อย่างไร ในเมื่อไม่มีกรรมกร
     นอกจากนี้เคราะห์กรรมยังซัดครูอย่างต่อเนื่อง เพราะมีการพูดกันในหมู่นักบริหารในการนำผลสัมฤทธิ์ O-Net มาประเมินครู  ครูโรงเรียนบ้านนอกห่างไกล โรงเรียนเล็กๆ หรือ ครูวิชาพละ ศิลปะ คงได้ครึ่งขั้นกันทั้งชาติ  ไม่ใช่เด็กทำได้หรือไม่ได้ มันไม่แกะข้อสอบออกอ่านด้วยซ้ำไป!

     นักวิชาการก็คิดกันไป จ้องจะกินแต่ครู ตัวก็ทำงานบนตึก ในมหาวิทยาลัย สอนก็น้อย ถึงไม่ได้สอนเลย ก็เลยคิดว่าครูว่างงานกันกระมัง ถึงได้ยัดเยียดหน้าที่ซึ่งนอกเหนือหน้าที่เข้ามามากมาย เช่น วิจัยในชั้นเรียน แรกๆก็ว่า one paper เดี๋ยวนี้สั่งกัน 5 บท มีคัดย่อด้วยนะ...ผมไม่เถียงหรอกว่าครูควรวิจัยเพื่อพัฒนาการสอน แต่ว่าด้วยเรื่องรูปเล่มเนี่ย "ครู"จะเอาเวลาที่ไหน?...ที่เขาเรียกครูเนี่ย เพราะว่างานมัน"หนัก"ชื่อก็บอก ไม่มีหน้าที่เขียนกระดานหรือถือไมค์เพียงอย่างเดียว  คนไหนป่วย ไม่สบาย เกเร หนีเรียน แกล้งเพื่อน ตีกัน จนถึงไม่มีเงิน ครูต้องเข้าไปแก้ปัญหาให้หมด ยิ่งครูประถมด้วยแล้ว ห้องใครห้องมันนั่งเฝ้าทั้งวันละสายตาไม่ได้ แต่ยังต้องมานั่งพิมพ์วิจัย ไหนจะตรวจการบ้านกองเท่าภูเขา สอนตั้ง 20 คาบต่อสัปดาห์ขึ้นไป การบ้านก็ต้องมี 20 ตั้งต่อสัปดาห์เช่นเดียวกัน ไหนจะทำสื่อ พิมพ์+โรเนียวใบความรู้ใบงานอีก งานฝ่าย ตักอาหาร เช็ดขี้เช็ดเยี่ยว ฯลฯ นักวิชาการ "อาจารย์"มหาวิทยาลัยเคยทำอะไรบ้างที่กล่าวมา "โรงเรียน"ของ"ครู"ไม่ได้มีฝ่ายเทคโนฯที่คอยพิมพ์ จัด โรเนียวให้ครูแต่อย่างใด ครูต้องทำเองทั้งหมด บางครั้งเครื่องโรเนียวซึ่งมีเครื่องเดียวในโรงเรียนมันเสีย ครูก็ต้องออกเงินจ้างร้านข้างนอกโรเนียวมาสอนอีกต่างหาก แล้วเพราะเหตุผลใด อาจารย์-นักวิชาการในมหาวิทยาลัย จึงสั่งให้ครูทำเช่นนั้นทำเช่นนี้ได้...ครูเป็น ดร. ก็มีเยอะแยะไป
    ที่สำคัญ กฎหมายอย่าง บรรยายอีกอย่าง ถึงเวลาทำต้องทำอีกอย่าง ขนาดส่งผลงานยังผ่านยาก ที่ผ่านกันยากๆ เนี่ยเพราะรูปแบบไม่ถูก คนหนึ่งบอกชิดขวา คนหนึ่งบอกชิดซ้าย ผมว่า ปัญหาการศึกษาบ้านเราไม่ใช่เป็นเพราะครูหรอกครับ ถ้าจะเป็นเพราะครูก็เพราะว่า ครูทำอะไรไม่ถูกต่างหาก  ก็เล่นย้อนกันไปย้อนกันมาแบบนี้ ผมว่าอีกหน่อยคงต้องปฏิรูปครั้ง 4....ปฏิรูปกลับไปใช้แบบเดิม...ที่แปลกแต่จริงคือ ปฏิรูปการศึกษาทำให้ครูเก่าๆชิงเออรี่ฯกันมากเพราะไม่คุ้นเคยการสอนแบบใหม่ รับไม่ได้กับการให้นักเรียนมาอภิปรายโต้แย้งกับครู แต่คนรุ่นเก่าๆพวกนี้แหละครับ ที่กลายมาเป็นที่รัฐมนตรี ที่ปรึกษาคนใหญ่คนโต กุมนโยบาย กินเงินเดือนเชี่ยวชาญพิเศษ และมาเป็นวิทยากรอบรมให้กับครูยุคใหม่! แล้วอย่างนี้จะให้ผมไม่หลงทางไหวหรือ..!

วันอังคารที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2555

เปิด Blog

เล่นซะงง...
     วันนี้ลอง lightroom 4 ซึ่งจริงๆใช้ ver.3.3 อยู่ ก็ ok ดีอยู่แล้ว แต่ดันมาเจอ plugin ที่สามารถทำให้ LR อัพรูปไปที่ Picasa ได้ ก็เลยโหลดมาซะ ปรากฎว่า ดัน support ตั้งแต่ LR 3.6 ขึ้นไป (เวรกรรม) เลยเดือดร้อนต้องไปหา LR version ใหม่ ซึ่งก็ได้ ver.4 มา แต่ไม่รู้ว่า full หรือไม่ แต่ช่างเถอะ ขอให้ใช้ได้ก็พอ ที่สำคัญมันไม่ลบ LR 3.3 ตัวเดิมซะด้วย..
     พออัพรูปเสร็จจะทำ link ที่เวปของ google ดันหาเมนู site ไม่เจอ เหลือบไปเห็นคำว่า บล็อก เข้า เอ๊ะ..เราไม่เคยใช้เลยนิ สงสัยต้องลอง ด้วยเหตุผลต้องการใช้ของฟรีให้คุ้ม!!
     รูปที่อัพวันนี้เป็นรูปงานพระราชพิธีเพลิงพระศพฯ ที่วัดเสมียนฯ วันนั้นว่าจะไม่เอากล้องลงเพราะลืมชาร์ตแบตมา แต่พวกขู่ซะเป็นห่วงกล้องในรถเลย สุดท้ายก็ต้องไปเอามาเลยได้วัดกะ 7D ของ อ.วรนันท์ ซะ...แต่ฝีมือคงสู้ไม่ได้ ยอมๆ....

ลองแปะรูปหน่อยละกัน
 ชื่อภาพนี้คือ "ชีวิตของคน(ครู)ที่มีกล้อง" 555+